วิพากษ์ ‘แก้รธน.-พ.ร.ป.’ ฝ่าแรงต้าน-เดินหน้าได้ ?

วิพากษ์‘แก้รธน.-พ.ร.ป.’ฝ่าแรงต้าน-เดินหน้าได้?

หมายเหตุความเห็นของนักวิชาการ กรณีรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย (พท.) เตรียมยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ในประเด็นมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ต่อที่ประชุมรัฐสภา ถึงความเป็นไปได้ว่าจะเดินหน้าได้หรือไม่ ภายหลังมีข้อกังวลจากพรรคร่วมรัฐบาลและสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) บางส่วนมองว่าอาจเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายการเมือง

ผศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์
และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา

หากมองในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในความเป็นจริงต้องมีการแก้ไขอยู่แล้ว และต้องเป็นการร่างใหม่เท่านั้น หากเป็นการแก้รายมาตรา ถึงแม้ว่าจะเป็นการอ้างว่า เป็นการแก้ไขปัญหาในเรื่องมาตรฐานการทำผิดจริยธรรมทางการเมือง เพื่อให้เกิดแนวปฏิบัติที่มีความชัดเจนก็ตาม อาจจะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นความร่วมมือกันระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน ในการแก้ไขเพื่อประโยชน์ของตัวเองหรือไม่ ทำให้สังคมมองว่าเป็นการจัดลำดับของความสำคัญ ในการทำงานของรัฐบาลที่ไม่ถูกต้อง

ADVERTISMENT

แต่ถามว่าการแก้ไขปัญหารัฐธรรมนูญมีความจำเป็นหรือไม่ ถือว่ามีจำเป็นเหมือนกัน แต่ในความเป็นจริง จะมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่อยู่แล้ว ควรที่จะทำครั้งเดียว แต่มาขอแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ถึงแม้จะทำถูกตามหลักการ แต่ไม่ใช่แก้เพื่อพรรคของตนเอง ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะใช้เวลาสั้นกว่าการร่างใหม่ก็ตาม แต่เจตนาดูไปแล้ว สามารถตีความเป็นอย่างอื่นได้ง่าย ที่สำคัญต้องดูท่าทีของ ส.ว.ด้วย ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ เพราะสังคมมองว่าเป็นการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง

การที่พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วย ผมมองว่าทั้ง 2 พรรคเอาความรู้สึกของประชาชนเข้ามาด้วย แต่ในความเป็นจริงทุกพรรคได้ประโยชน์ในการแก้รัฐธรรมนูญ แต่เมื่อเอาความรู้สึกของประชาชนมาร่วมด้วย จึงไม่กล้าเสนอให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ หากมาเปรียบเทียบกับพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนแล้ว ดูเหมือนทั้ง 2 พรรคไม่ได้เอาความรู้สึกของประชาชนมาร่วมด้วย โดยเน้นในเรื่องหลักการ แต่อีกด้านหนึ่งเห็นว่าทั้ง 2 พรรค คือพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเอง

ถือว่าเป็นหน่ออ่อนของความขัดแย้ง ที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย อาจจะมีการชุมนุมและลงถนนกันอีกรอบก็ได้ เพราะการแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ทำเพื่อตัวเอง แทนที่พรรคประชาชนจะทำหน้าที่ไปตรวจสอบกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าพักรักษาอาการป่วยที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ แต่ก็ไม่ทำ จึงทำให้มองได้ว่าทั้ง 2 พรรคฮั้วกัน

หากว่าไปแล้วการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ มองว่าจะเดินหน้าได้ยาก หากพรรคภูมิใจไทยไม่เอาด้วย จึงเป็นการเปิดเผยว่าพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน รวมหัวกันในการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัวเอง สุดท้ายแล้วพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน อาจถูกมองว่าทำเพื่อตัวเอง รวมทั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นหลัก

ส่วนการที่จะมีผู้ไปร้องเรียนเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา รวมทั้งการแก้ไขร่าง พ.ร.ป.พรรคการเมือง ร่าง พ.ร.ป.ป.ป.ช. อาจเข้าข่ายเพื่อประโยชน์ของนักการเมือง อาจขัดรัฐธรรมนูญ ทำให้มองได้ว่าเป็นการแก้เพื่อช่วยคนที่มีอิทธิพลของพรรคเพื่อไทยทั้งหมด โดยเฉพาะการกระทำของพรรคเพื่อไทย ได้สะท้อนได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าจะถูกต้องตามหลักการ แต่ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับมามีอำนาจและบทบาททางการเมืองโดยมีรัฐธรรมนูญและกฎหมายรองรับ

ส่วนโอกาสแก้ไขรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่นั้น หาก ส.ว.ไม่เอาด้วย โอกาสผ่านคงยาก แต่เชื่อมั่นในสภาผู้แทนราษฎรจะผ่านฉลุย เพราะพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชนจะต้องร่วมมือกัน ซึ่งมีการดีลกันมานานแล้ว แต่ถ้าหากฝ่าย ส.ว.ไม่เอาด้วย การแก้รัฐธรรมนูญคงยาก เพราะจะต้องใช้เสียง ส.ว.ด้วย แต่ถ้าเป็นการแก้กฎหมายปกติ คงไม่มีปัญหา แต่นี่เป็นการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ที่สำคัญอาจจะมีการแก้ที่เอื้อประโยชน์ต่อพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน ส.ว.คงไม่เห็นด้วย

มองไปแล้วการแก้รัฐธรรมนูญคงจะผ่าน ส.ว.ยาก เพราะจะต้องใช้เสียง ส.ว. 1 ใน 3 หรือ มากกว่า 67 เสียง แต่เมื่อ ส.ว.ในซีกของพรรคเพื่อไทยรวมกับพรรคประชาชนแล้วไม่ถึง 67 เสียง จึงยากมากที่จะแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้ โดยเฉพาะ ส.ว.ปีกภูมิใจไทยไม่เอาด้วย

สำหรับทางออกและความเป็นไปได้ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ หากไม่ต้องการมีปัญหาจะต้องร่างใหม่เท่านั้น โดยเอาสังคมมาเป็นหุ้นส่วนและสร้างแรงกดดันเท่านั้น ถึงจะมีรัฐธรรมนูญใหม่ได้ แต่หากทำแบบการแก้ไขรายมาตราอาจจะถูกร้องได้ง่าย โดยเฉพาะหากไปแก้ พ.ร.ป.พรรคการเมือง ก็อาจถูกมองว่าเหมือนกับไปแก้ไขเพื่อให้นายทักษิณ ชินวัตร หรือไม่

ผศ.นพพร ขุนค้า
อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์

การเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ในประเด็นที่เกี่ยวกับการแก้ไขอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญนั้นส่วนตัวผมเห็นด้วย เนื่องจากรัฐธรรมนูญไทยได้ออกแบบให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเกินขอบเขตที่ควรจะเป็น ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญควรมีอำนาจเพียงแค่ควบคุมไม่ให้กฎหมายอื่นใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

แต่รัฐธรรมนูญไทยรวมทั้งกฎหมายลูก คือ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ไปให้ขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญค่อนข้างมาก จนอาจส่งผลกระทบต่อการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติได้ เมื่อย้อนกลับไปในอดีตนั้นก็มีนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรี นักการเมืองหลายคน พ้นจากตำแหน่ง

ส่วนคำถามที่ว่าพรรคร่วมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ นั้นเห็นด้วยกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ประเด็นนี้คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ต้องคุยกัน

ส่วนตัวผมไม่ได้มองว่าเป็นการแก้เพื่อประโยชน์ของพรรคการเมือง แต่ต้องแก้เพื่อให้มีหลักการที่ถูกต้องในรัฐธรรมนูญ รวมทั้งวิปรัฐบาล ต้องคุยกับฝ่ายค้านคือ พรรคประชาชนด้วย รวมถึงสมาชิกวุฒิสภาด้วย คือทำร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย หากอะไรที่ถูกต้อง ก็ไม่ต้องห่วงว่าประชาชนจะมองว่าทำเพื่อนักการเมือง เพราะอะไรที่ไม่ได้อยู่บนหลักการนั้น คิดว่าต่อไปอาจจะเกิดปัญหาบานปลายและทำให้ระบบการเมืองไทยไม่มีพัฒนาการอย่างที่เห็นกันอยู่ในทุกวันนี้

การแก้รัฐธรรมนูญแบบรายมาตรานั้น ไม่จำเป็นต้องลงประชามติก็เห็นด้วยเพราะการลงประชามตินั้น จะใช้เวลาและทอดเวลาไปอีกนาน รวมถึงยังสิ้นเปลืองงบประมาณด้วย เพราะมีตัวแทนของประชาชนนั้นนั่งอยู่ในสภาแล้ว คือ ส.ส.และ ส.ว. เมื่อมีตัวแทนที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องมีอำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายได้ อย่างไรก็ยังมองว่าไม่เป็นการเอื้อกับนักการเมือง เพราะรัฐธรรมนูญมีปัญหา

ประเด็นเรื่องมาตรฐานจริยธรรม ไม่สำคัญอยู่ที่เสียงกี่เสียงจะถอดถอนนักการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ปัญหาใหญ่คือต้องเขียนแบบไม่ต้องตีความว่าอะไรคือจริยธรรม น่าจะเป็นจุดนั้นมากกว่า จึงขอขีดเส้นใต้เอาว่า อย่าไปเขียนกฎหมาย ที่ให้อำนาจดุลพินิจกับคนใช้กฎหมายมากเกินไป

จึงไม่ได้มองว่าจะต้องใช้กี่เสียง หรือใช้เสียงสองในสามจึงจะถอดถอนได้ แต่ต้องเขียนให้ชัดเจนว่าอะไรคือขัดจริยธรรม เรียงเป็นข้อๆ ออกมา เป็นแบบไม่ต้องตีความ ตรงนั้นสำคัญกว่า อย่าไปมองว่าเอื้อประโยชน์ต่อใคร อยากส่งเสียงไปถึง ส.ส.ทั้งหลายว่า ไม่ต้องห่วงถ้าคุณยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง ประชาชน กระแสสังคมก็จะไม่กล้าที่จะทำอะไรต่อพวกคุณได้

เราต้องทำให้ศาลรัฐธรรมนูญอยู่กรอบการทำหน้าที่ที่ชัดเจน ไม่เช่นนั้นอำนาจของประชาชนที่เลือกตั้งมาสุดท้ายพรรคการเมืองหลายพรรคก็สูญสลายไปกับศาลรัฐธรรมนูญ จึงต้องคุยกันทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลและวุฒิสภา ร่วมกันสามฝ่าย ตลอดจนคณะรัฐมนตรีด้วย และเดินหน้าไปด้วยกัน หากเป็นไปได้อย่างนี้จึงมองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตราในครั้งนี้จะสำเร็จ

หากไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญจะกลายเป็นนิติสงครามที่จะทำลายกันทางกฎหมายที่จะเกิดเพิ่มขึ้น ปัญหานิติสงครามเกิดขึ้น เพราะการให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญรวมไปทั้งองค์กรอิสระที่มากเกินไป ประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยและในระบบรัฐสภาที่รุงรัง เนื่องจากปกติในระบบรัฐสภาแล้ว ฝ่ายบริหารจะอยู่ได้ตราบใดที่ฝ่ายนิติบัญญัติไว้วางใจ

แต่กลายเป็นว่าวันนี้ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ หันซ้าย-ขวา ก็ต้องระวังศาลรัฐธรรมนูญ ระวังองค์กรอิสระ จึงกลายเป็นระบบรัฐสภาที่รุงรัง ฉะนั้นแล้วเพื่อแก้ปัญหาที่เรียกว่านิติสงครามนั้น ควรเขียนกฎหมายให้ชัดเจน ให้ทุกองค์กรอยู่ในขอบเขตที่ควรจะเป็น ศาลรัฐธรรมนูญควรตรวจสอบบทบัญญัติของตัวบทกฎหมายอื่นๆ ที่ไม่ให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

องค์กรอิสระอย่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบว่าห้าม เจ้าหน้าที่รัฐทุจริตก็พอ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบการเลือกตั้งให้สุจริตก็พอ

ผมมองว่าถ้าไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ คำว่านิติสงคราม การทำลายล้างกันด้วยการยื่นถอดถอน ยื่นคำร้องต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นมากมาย จึงควรทำให้ชัดเจนและออกมาสื่อสารกับประชาชน

แต่พรรคเพื่อไทยอย่าทำฝ่ายเดียว ต้องพูดกับพรรคประชาชน ต้องพูดกับพรรคร่วมรัฐบาลและวุฒิสภาด้วย เพื่อให้เกิดความยินยอมพร้อมใจ ทำไปด้วยกันบนหลักการที่ถูกต้อง