เผยผลศึกษา หมอคางดำ พบเอกชน 1 ราย นำเข้า-ที่มา แหล่งเดียวกัน ‘วาโย’ ลั่นไม่จบแค่นี้ ‘ณัฐชา’ จี้เอาผิด

‘อนุฯกมธ.’ เผยผลศึกษาหมอคางดำ พบเอกชน 1ราย นำเข้า-ต้นตอแหล่งเดียวกัน ด้าน ‘วาโย’ ลั่น อย่าให้จบแค่นี้ จ่อนำเข้า กมธ.ใหญ่ ติดตามผล ด้าน ‘ณัฐชา’ จี้ หน่วยงานรัฐ เดำเนินคดี-ตามตัวผู้รับผิดชอบมาเยียวยา ปชช.

เมื่อวันที่ 25 กันยายน ที่รัฐสภา คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหา รวมถึงผลกระทบ จากการนำเข้าปลาหมอคางดำ เพื่อการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ในราชอาณาจักรไทย นำโดย นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะอนุฯ นายณัฐชา บัญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะอนุฯ แถลงสรุปผลการดำเนินงาน

นพ.วาโยกล่าวว่า ปลาหมอคางดำ ไม่เคยปรากฏขึ้นในราชอาณาจักรไทย กระทั่ง ช่วงปลายปี 2553-55 มีเอกชนรายหนึ่งขอนำเข้าปลาหมอคางดำเข้ามา ที่ ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทราสงคราม ต่อมา ช่วงปลายปีเดียวกัน ได้เริ่มพบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในพื้นที่ดังกล่าว และพบรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปี 55 เป็นต้นมา มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น จนส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำพื้นถิ่นในแหล่งน้ำธรรมชาติ รวมถึงสัตว์น้ำที่ถูกเพาะเลี้ยงตามบ่อหรือฟาร์มจนได้รับความเสียหาย ซึ่งแพร่ระบาดไปแล้วกว่า 79 อำเภอ ในพื้นที่ 19 จังหวัด

คณะอนุฯกล่าวว่า จากการได้ค้นหาสาเหตุของปัญหา พบว่า ปรากฏเอกชนเพียงรายเดียว คือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด ในปี 49 ที่ดำเนินการขออนุญาตนำเข้ามาในราชอาณาจักรต่อกรมประมง ซึ่งได้มอบหมายให้คณะกรรมการด้านความหลากหลายและความปลอดภัยทางชีวภาพ (IBC) เป็นผู้พิจารณา และได้รับอนุญาตแต่บริษัทยังไม่ได้นำเข้ามาในช่วงเวลาดังกล่าว

ADVERTISMENT

จนกระทั่งมีการขออนุญาตในปี 55 ซึ่งครั้งนี้นำเข้าปลาหมอคางดำจำนวน 2,000 ตัวจากสาธารณรัฐกานา โดยแจ้งว่าเพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์ปลานิล ณ ศูนย์วิจัยสัตว์น้ำของบริษัท ด้วย 2 เงื่อนไข คือ 1. ขอให้มีการตัดเก็บตัวอย่างครีบดองในน้ำยาเก็บตัวอย่างและส่งให้กรมประมงโดยไม่ทำให้ปลาตาย 2.เมื่อสิ้นสุดการศึกษาวิจัย ให้รายงานผลการศึกษา โดยหากผลการศึกษาไม่เป็นไปตามเป้าหมายและไม่ประสงค์ที่จะทำการศึกษาต่อไป ให้ทำลายปลาดังกล่าวทั้งหมด และแจ้งกรมประมงเพื่อส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบการทำลาย

ADVERTISMENT

แต่บริษัทได้ชี้แจงว่า เนื่องจากปลายังมีขนาดเล็กและเปราะบางเกินไป จึงไม่สามารถตัดครีบปลาได้ จึงเป็นการพ้นวิสัยที่ไม่ต้องปฏิบัติตามข้อ 1 และเป็นหน้าที่ของกรมประมงที่จะต้องทำ

โดยเมื่อบริษัทไม่สามารถทำการศึกษาวิจัยได้ จึงได้ทำลายและฝังกลบ พร้อมส่งมอบให้กับกรมประมงจำนวน 25 ตัวแล้ว แต่ทว่ารายงานของกรมประมงไม่ปรากฏผลดังกล่าว ทั้งยังระบุว่าการดำเนินการข้อ 1 เป็นหน้าที่ของบริษัท

ต่อมาเมื่อเกิดการระบาด กรมประมงศึกษาวิเคราะห์เส้นทางการแพร่ระบาดจากโครงสร้างพันธุกรรมของประชากร พบว่าแต่ละประชากรย่อยไม่มีความแตกต่างกันทางพันธุกรรมมากนัก บ่งชี้ว่าประชากรปลาหมอคางดำที่แพร่ระบาดในไทยมีแหล่งที่มาร่วมกัน

นอกจากนี้ การแพร่กระจายของปลาหมอคางดำมีลักษณะเป็นหย่อมไม่เชื่อมกัน บ่งชี้ว่าการแพร่ระบาดในแต่ละพื้นที่อาจมีสาเหตุเริ่มต้นมาจากการเคลื่อนย้ายปลาหมอคางดำโดยการกระทำของมนุษย์มากกว่าการแพร่กระจายไปตามเส้นทางน้ำที่ติดต่อกับชายฝั่งทะเล

 

ล่าสุดเมื่อ ส.ค.2567 กรมประมงได้นำข้อมูลลำดับพันธุกรรมของปลาหมอคางดำที่ระบาดใน 6 จังหวัดซึ่งเก็บอยู่ในธนาคารพันธุกรรมหรือ DNA Bank ของกรมประมง ประกอบกับการสนับสนุนข้อมูลจากฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ พบว่าปลาหมอคางดำที่เก็บตัวอย่างจาก 6 จังหวัดที่มีรายงานการระบาดในช่วง พ.ศ.2560-2564 อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับตัวอย่างข้อมูลทางพันธุกรรมที่มาจากประเทศกานาและโกตดิวัวร์

ขณะที่ นายณัฐชากล่าวว่า รัฐควรมีการดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งควรใช้พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มาตรา 97 ซึ่งบัญญัติว่าผู้ใดกระทำหรือละเว้นการกระทำใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ที่เป็นการทำลายหรือทำให้สูญหายเสียหายจากทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นของรัฐหรือสาธารณสมบัติของแผ่นดิน มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เพื่อใช้ค่าเสียหายให้แก่รัฐตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติ ที่ถูกทำลายสูญหายหรือเสียหายไป

โดยหน่วยงานที่ควรดำเนินการ ได้แก่ กรมประมง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์การบริหารส่วนจังหวัดต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ

นอกจากนี้ คณะอนุฯยังเห็นว่า กระทรวงต่างๆ ควรบูรณาการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับการเกษตรกรรม การจัดหาแหล่งน้ำ และพัฒนาระบบชลประทาน ซึ่งส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกร ตลอดทั้งการผลิตสินค้าเกษตรกร จึงควรเร่งดำเนินการจัดการและประเมินความเสียหายทางเกษตรเศรษฐศาสตร์ ค่าเสียหายทางเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด และเยียวยาค่าเสียหาย

สำหรับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ควรเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินการทางกฎหมาย ต่อผู้ซึ่งรับผิดชอบตามกฎหมาย รวมถึงกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจส่งเสริมสนับสนุนกำกับการอุดมศึกษาวิจัย และนวัตกรรม ก็ควรร่วมด้วย

นพ.วาโย ยังกล่าวถึง ข้อเสนอทั้ง 26 ข้อของคณะอนุฯ นั้น ยังต้องมีการปรับปรุงใหม่ เนื่องจากต้องไล่เรียงและปรับตามสถานการณ์ ก่อนจะมีการเผยแพร่ฉบับเต็มแก่สาธารณะชน ซึ่งมีทั้งข้อเสนอแนะและข้อสังเกตที่พบ รวมถึงการบ่งชี้ไปในแนวทางไหน และควรมีการดำเนินการอย่างไร

เมื่อถามว่า ถือว่าพอใจกับผลการศึกษาที่ทำมาหรือไม่นั้น นพ.วาโยกล่าวว่า ในฐานะที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ คณะอนุฯ และผู้แทนประชาชน ต้องบอกว่า เราสามารถทำได้ในระดับหนึ่ง ความพอใจคืออย่างน้อยเรารับทราบปัญหาที่แท้จริงจากฝั่งประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงปัญหาที่พบของตัวเจ้าหน้าที่รัฐเอง เพราะเขามีความคับแค้นใจในบางครั้งเหมือนกัน ซึ่งได้ชี้แจงกับทางคณะอนุฯ

โดยจากการไล่เลียงคำตอบของปัญหาทั้งหมด จึงนำมาสู่บทสรุปว่า ต้องมีผู้ลงมือกระทำอะไรสักอย่าง ตนยอมรับว่าอำนาจของคณะอนุฯ ค่อนข้างแคบ จึงทำได้เพียงข้อเสนอแนะ แต่อยากหน่วยงานต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชน รวมถึงภาคีเครือข่ายต่างๆ สามารถนำข้อมูลที่เรารวบรวมมานี้ ไปดำเนินการต่อ

เมื่อถามว่า คณะอนุฯ หมดหน้าที่แล้ว แต่ความเดือดร้อนของประชาชนยังอยู่ นพ.วาโยกล่าวว่า แม้คณะอนุจะหมดหน้าที่ แต่หน้าที่การเป็นผู้แทนประชาชนในความผู้แทนราษฎรยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ซึ่งตนวางเอาไว้ว่า เรื่องนี้ต้องไม่จบแค่นี้ เราจะนำเรื่องนี้เข้ามาติดตาม และตรวจการบ้านเรื่อยๆ เป็นระยะ ไม่เกิน 3 เดือน จะพยายามคอยดูความคืบหน้า และนำเข้ามาประชุมในคณะกรรมาธิการชุดใหญ่ และคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สภาผู้แทนราษฎร ต่อไป

นพ.วาโยยืนยันว่า คณะอนุฯ ไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจตัดสิน แต่เป็นผู้มีอำนาจในการเก็บรวบรวมรายงานต่างๆ ส่วนงบประมาณจำนวน 450 ล้านบาทนั้น ไม่มีการขอเพิ่มเติม เพียงให้กรมประมงจัดสรร ตนยืนยันว่า แม้คณะอนุฯ หมดวาระแล้ว แต่งบประมาณส่วนนี้ยังไม่ได้ทิ้ง ทั้งนี้ หากใครมีข้อมูลเพิ่มเติมสามารถส่งมาที่คณะกรรมาธิการฯ อว.ได้

ส่วนจะมีการดำเนินการเรื่องนี้ต่อหรือไม่ นพ.วาโยยอมรับว่า ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีอำนาจไปบังคับให้เขากระทำการตามคำแนะนำได้ ซึ่งเป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่ง ย้ำว่า ทุกหน่วยงานมีหน้าที่ของตนเอง หากมีเจ้าหน้าที่ที่มิได้ทำตามหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ประชาชนก็ต้องตรวจสอบ

โดยขณะนี้ มีอย่างน้อย 15 หน่วยงาน ที่ได้เข้าสู่กระบวนการของศาลปกครอง ทางด้านประชาชนเอง เราก็ได้เชิญสภาทนายความและภาคประชาชนเข้ามาร่วมด้วยเช่นเดียวกัน และเริ่มมีการดำเนินการฟ้องร้องคดีไปแล้ว และหลายหน่วยงานก็ได้มีการออกระเบียบในพื้นที่กรุงเทพฯ ในการกำหนดเกณฑ์เยียวยาออกมาแล้ว ซึ่งตนเชื่อว่าไม่กี่เดือนนี้จะสัมฤทธิผล

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image