ประชาชน ดัน ‘เท้ง ทั่ว ไทย’ ตั้งเป้าคว้า 270 ส.ส.

ปชน.ดัน ‘เท้ง ทั่ว ไทย’
ตั้งเป้าคว้า 270 ส.ส.

หมายเหตุพรรคประชาชน (ปชน.) นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค ปชน. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหน้าพรรค, นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรค และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรค เข้าพบผู้บริหารและบรรณาธิการในเครือมติชน โดยมีนายปราปต์ บุนปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัทมติชน จำกัด (มหาชน) พร้อมผู้บริหารในเครือมติชน ให้การต้อนรับและร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยน ที่อาคารสำนักงาน บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ
ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค ปชน.

ตั้งแต่มีการตั้งพรรคประชาชนขึ้นมาภายหลังพรรคก้าวไกลถูกยุบ พบว่าการสมัครตั้งแต่เดือนสิงหาคม-กันยายนที่ผ่านมา มีการสมัครสมาชิกประมาณ 83,650 คน ซึ่งสัดส่วนผู้สมัครเป็นสมาชิกแบบตลอดชีพเพิ่มขึ้น 44.34 เปอร์เซ็นต์ของสมาชิกทั้งหมด ปัจจัยหนึ่งอาจมาจากการปรับลดค่าสมัครสมาชิกตลอดชีพ จากเดิมคนละ 2,000 บาท เหลือเพียง 500 บาท

ADVERTISMENT

เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลเงินบริจาคบำรุงพรรคการเมืองของพรรคประชาชน ประมาณ 28 ล้านบาท ส่วนมากมาจากการบริจาคของคนทั่วไป ครั้งละตั้งแต่ 201-999 บาท ถึง 17,369 ครั้ง จากทั้งหมด 33,013 ธุรกรรม และสัดส่วนที่สร้างรายได้มากที่สุดคือผู้บริจาคจำนวนเงิน 1,000-5,000 บาท จำนวน 7,307 ครั้ง คิดเป็นเงิน 12.6 ล้านบาท สถิติเหล่านี้สะท้อนว่าผู้สนับสนุนพรรคประชาชนคือกลุ่มคนทั่วไปวัยทำงาน ที่มีฐานะปานกลาง ต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองผ่านการสนับสนุนพรรค การที่คนจำนวนมากเลือกสมัครสมาชิกตลอดชีพทำให้พรรคมีความเข้มแข็งขึ้นในระยะยาว และสะท้อนว่าประชาชนรู้จักและเข้าใจจุดยืนของพรรคประชาชนมากขึ้น เมื่อเทียบกับสมัยพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล

แต่สิ่งที่ผมต้องทำคือการทำงานให้ได้ใจประชาชน พิสูจน์ตัวเองผ่านการทำงานต่อสาธารณะมากขึ้นเพื่อให้คนจดจำในฐานะหัวหน้าพรรคและว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งปี 70 จึงทำให้เกิดโครงการ “เท้ง ทั่ว ไทย” ที่ผมจะต้องลงพื้นที่ทั้ง 77 จังหวัด ภายในระยะเวลา 1 ปี เพื่อรับฟังปัญหาจากประชาชนอย่างแท้จริง รวมถึงการเสนอวิสัยทัศน์ ทางออกต่างๆ ในการแก้ปัญหาจากเส้นเลือดฝอย ทั้งนี้งานในสภาเราก็ยังไม่ทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นการอภิปรายงบประมาณ และการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ADVERTISMENT

อย่างไรก็ตาม สำหรับการวางเชิงยุทธศาสตร์ในการเลือกตั้งครั้งหน้าปี 2570 นั้น พรรคประชาชนตั้งเป้าไว้ว่าเราจะได้ 270 เสียง ระหว่างนี้คงต้องปรับภาพลักษณ์ การสื่อสาร ทำให้ประชาชนรู้ว่าเราพร้อมบริหารประเทศ เพื่อให้เข้าถึงคนที่ไม่เคยเลือกพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกลมาก่อน แล้วหันมาเลือกพรรคประชาชนเพิ่มขึ้น โดยในปีหน้าเราจะมีการเปิดตัวสมุดปกขาวเกี่ยวกับในการเลือกตั้งปี 2570

เพราะเป้าหมายของพรรคประชาชน คือการ กระจายอำนาจและโครงการขนาดกลางและเล็กให้ลงถึงพื้นที่ แทนที่จะผลักดันการทำโครงการใหญ่ๆ ที่มีแต่จะสร้างความเจริญให้กระจุกอยู่ที่ใดที่หนึ่งหรือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ขณะที่โมเดลพัฒนาเศรษฐกิจของเรา มีหลายโมเดล อาทิ รถเมล์สะอาด น้ำประปาดื่มได้ ที่เป็นสิ่งที่เราต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้งบประมาณที่หย่อนลงไปแล้ว สามารถพัฒนาเมืองได้ หรือพูดง่ายๆ โจทย์คือเราจะทำอย่างไรให้บริการสาธารณะต่างๆ ของประเทศไทยเหมือนกับที่อื่นๆ โดยที่เราจะใช้ท้องถิ่นเป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งถือเป็นโจทย์ที่ยากที่เราจะต้องทำให้การสื่อสารง่ายขึ้นเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ และกระจายความเจริญให้มากขึ้น

ศรายุทธิ์ ใจหลัก
เลขาธิการพรรค ปชน.

การเดินหน้าของพรรค ปชน.นับจากนี้ คือการปรับโครงสรางพรรค ปชน.ให้ยึดโยงกับประชาชนและสมาชิกในทุกพื้นที่ให้มีความเข้มแข็ง ภายหลังที่พรรค ปชน.ได้ปรับโครงสร้างพรรคใหม่ มีการเลือกรองหัวหน้าพรรคอีก 7 คน แบ่งภารกิจความรับผิดชอบทั้ง 7 ด้าน ได้แก่ 1. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ฝ่ายนโยบาย 2.นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล รองหัวหน้าพรรค ฝ่ายกิจการสภา

3.นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรค ฝ่ายกิจการพิเศษ 4.นายรังสิมันต์ โรม รองหัวหน้าพรรค ฝ่ายกิจการทั่วไป 5.นายชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร รองหัวหน้าพรรค ฝ่ายต่างประเทศ

6.พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รองหัวหน้าพรรค ฝ่ายกิจการภายนอก และ 7.นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง รองหัวหน้าพรรค ฝ่ายกฎหมาย

รวมทั้งมีการเลือก รองเลขาธิการพรรคเพิ่มเป็น 12 ตำแหน่ง แบ่งเป็นสัดส่วนภูมิภาค 8 ตำแหน่ง สัดส่วนกลุ่มประเด็น 2 ตำแหน่ง และสัดส่วนสำนักงาน 2 ตำแหน่ง เพื่อมุ่งหวังให้การจัดทำนโยบายของพรรคลงลึกไปในระดับภูมิภาคและกลุ่มประเด็นต่างๆ มากขึ้น ได้แก่ 1.นายปิยรัฐ จงเทพ รองเลขาธิการพรรค สัดส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล 2.นายเจษฎา เอี่ยมปุ่น รองเลขาธิการพรรค สัดส่วนภาคกลาง

3.นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ รองเลขาธิการพรรค สัดส่วนภาคตะวันออก 4.นายวิจักษณ์ พฤกษ์สุริยา รองเลขาธิการพรรค สัดส่วนภาคใต้ 5.นายวิสา บุญนัดดา รองเลขาธิการพรรค สัดส่วนภาคเหนือตอนบน

6.นายคริษฐ์ ปานเนียม รองเลขาธิการพรรค สัดส่วนภาคเหนือตอนล่าง 7.นายวีรนันท์ ฮวดศรี รองเลขาธิการพรรค สัดส่วนภาคอีสานตอนบน 8.นายพนา ใจตรง รองเลขาธิการพรรค สัดส่วนภาคอีสานตอนล่าง

9.นายณธนภัทร ฤทธิ์เนติกุล รองเลขาธิการพรรค สัดส่วนเครือข่ายชาติพันธุ์ 10.นายเซีย จำปาทอง รองเลขาธิการพรรค สัดส่วนเครือข่ายแรงงาน 11.นางลลิตา สิริพัชรนันท์ รองเลขาธิการพรรค สัดส่วนสำนักงานและ 12.นายพีรัช สงเคราะห์ รองเลขาธิการพรรค สัดส่วนสำนักงาน

โดยอีก 2 เดือนนับจากนี้จะมีการเลือกตั้งคณะกรรมการพรรคระดับอำเภอ และคณะกรรมการพรรคระดับจังหวัด โดยจะทำงานคู่ขนานกับผู้บริหารพรรค ที่ได้วางโครงการการทำงานให้ยึดโยงในแต่ละพื้นที่ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นสถาบันทางการเมือง ภายใต้โครงสร้างพรรคที่เข้มแข็ง ในการรองรับการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 และการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2570 รวมทั้งรองรับทุกสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดกับแกนนำหรือผู้บริหารพรรค จะมีบุคลากรชุดใหม่ขึ้นมาขับเคลื่อนพรรคให้เดินหน้าต่อไปได้ด้วยความเป็นสถาบันทางการเมือง

พริษฐ์ วัชรสินธุ
ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรค ปชน.

เส้นทางการจัดทำรัฐธรรมนูญมี 2 แนวทางคู่ขนาน แนวทางแรกคือจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) และแนวทางที่ 2 ที่ต้องทำคู่ขนาน คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา เพราะกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ต้องใช้เวลานาน และอาจจะไม่แล้วเสร็จทันตามที่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ หรือแล้วเสร็จก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป พรรคประชาชน จำเป็นต้องแก้รายมาตราในหลายเรื่อง

ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราที่ว่านี้ แบ่งเป็น 7 แพคเกจ ได้แก่ แพคเกจ A คือ ลบล้างผลพวงรัฐประหาร ยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและแผนการปฏิรูปประเทศของ คสช. เนื่องจากขาดความชอบธรรมในประชาธิปไตย เสี่ยงถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยมีสาระสำคัญคือทลายเกราะคุ้มกันคำสั่ง ประกาศของ คสช.มาตรา 279 ซึ่งเป็นการเติมพลังด้านการทำรัฐประหาร เพิ่มความรับผิดชอบสถาบันทางการเมือง เพื่อไม่ก่อให้เกิดการทำรัฐประหาร

แพคเกจ B คือ การตีกรอบอำนาจศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ตนมี 2 ประเด็น คือ ยุติการผูกขาดอำนาจเรื่องมาตรฐานจริยธรรมไว้กับศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ ที่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม เพิ่มความเสี่ยงใช้อำนาจตามอำเภอใจ และเพิ่มความเสี่ยงในการใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้ง ดังนั้น องค์กรต่างๆ ควรจะมีระเบียบการตรวจสอบเรื่องจริยธรรมของตนเอง เพื่อยุติการผูกขาดอำนาจ และปลดล็อกพรรคการเมืองให้ยึดโยงกับประชาชน ซึ่งเป็นการแก้ไขใน พ.ร.ป.พรรคการเมือง ตัวอย่างที่สำคัญ คือ กรณีการตั้งคณะรัฐมนตรี อาจตอกย้ำว่าสังคมมองว่าอาจมีการบังคับใช้มาตรฐานจริยธรรมอย่างไม่เป็นธรรม เช่น กรณีอดีตรัฐมนตรีคนหนึ่ง ที่วันนี้ แพทองธาร ชินวัตร ไม่กล้าแต่งตั้ง เพราะเกรงว่าอาจจะขัดต่อจริยธรรม

แพคเกจ C คือ เพิ่มกลไกการตรวจสอบการทุจริต ป้องกันการฮั้วกันระหว่างรัฐบาลกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพิ่มอำนาจประชาชนโดยตรงในการร้องเรียนนักการเมือง เพิ่มมาตราเข้าไป เพื่อให้ประชาชนรวบรวมชื่อ 20,000 รายชื่อ เพื่อเป็นเรื่องด่วนให้ ป.ป.ช.พิจารณาภายใน 180 วัน เปิดเผยข้อมูลรัฐ และคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแส

แพคเกจ D คือ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ขยายสิทธิเรียนฟรี 15 ปี ยกระดับสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อม ยกระดับคุ้มครองความเสมอภาคทางเพศ บุคคลทุกคนไม่ว่าเพศใดมีสิทธิเท่าเทียมกัน สิทธิในการกระบวนการยุติธรรมเสรีภาพในการแสดงออก และเงื่อนไขจำกัดสิทธิเสรีภาพ

แพคเกจ E คือ การปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหารในยามปกติและมีได้เฉพาะมีความเสี่ยงภัยสงคราม กำหนดขอบเขตอำนาจศาลทหาร

แพคเกจ F คือ ยกระดับประสิทธิภาพของรัฐสภา ยกระดับกลไกกำหนดการมีอำนาจออกคำสั่งเรียก เพื่อขอเอกสารและบุคคลภายนอกเข้ามาชี้แจง ปรับนิยามฝ่ายค้าน ที่ประธานสภา หรือรองประธานสภา จะมาจากพรรคการเมืองฝ่ายค้าน เพิ่มอำนาจสภาในการพิจารณาร่างการเงิน

แพคเกจ G คือ การปรับเกณฑ์เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ (มาตรา 256) กำหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญกระทำได้หากได้รับเสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา และ 2 ใน 3 ของสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากเสียง 1 ใน 3 ของวุฒิสภาเป็นเงื่อนไขเฉพาะ รวมถึงกำหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องมีการทำประชามติก็ต่อเมื่อเป็นการแก้ไขเกี่ยวกับเกณฑ์เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือการแก้ไขเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เท่านั้น

การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องมาตรฐานจริยธรรม ที่มีข้อถกเถียงกันอยู่ขณะนี้ หลายพรรคก็ยอมรับอย่างตรงกันว่าเป็นปัญหา ทางพรรคเพื่อไทยก็เห็นว่าเรื่องนี้มีปัญหาจริงๆ ทั้งนี้ ยังมีบางพรรคบางคนก็มีการพูดถึงปัญหาเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่พรรคประชาชนที่เองที่เห็นปัญหา

แต่เมื่อวันนี้มีความชัดเจนระดับหนึ่งว่ายังไม่พร้อมจะหันหน้าเข้ามาพูดคุยกัน และเดินหน้าหาทางออกต่อปัญหาดังกล่าว เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางพรรคประชาชนจึงมองว่าพรรคประชาชนยังจำเป็นที่จะต้องอธิบายสื่อสารกับประชาชนและสังคม ว่าทำไมถึงยังมีความจำเป็นที่จะต้องยุติการผูกขาดอำนาจเรื่องมาตรฐานจริยธรรมไว้กับศาลรัฐธรรมนูญในองค์กรอิสระ ยืนยันว่าเป็นการเสนอเพื่อปรับปรุงระบบการเมืองดีขึ้น ไม่ได้เสนอเพื่อผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ก็ไม่อยากให้เรื่องดังกล่าวเป็นเงื่อนไขหรือข้ออ้างที่ทำให้พรรคการเมืองอื่นไม่เดินหน้าในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราในประเด็นอื่น

เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตราเดินหน้าต่อ พรรคประชาชนจึงขอพักการผลักดันร่างรัฐธรรมนูญเรื่องมาตรฐานจริยธรรมไว้ก่อน จนกว่าจะทำงานเชิงความคิดกับพรรคร่วมรัฐบาลได้มากขึ้น แต่ยืนยันว่าจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ และแก้มาตราในประเด็นอื่นๆ และหวังว่าพรรคอื่นๆ จะไม่นำการแก้ไขรายมาตราในเรื่องจริยธรรมมาเป็นข้ออ้าง เอามาเป็นเงื่อนไขที่จะไม่มองเห็นความจำเป็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราอีกหลายประเด็น ที่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราควบคู่ไปกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ยิ่งวันนี้ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีความเสี่ยงว่าจะเสร็จไม่ทันเลือกตั้งครั้งถัดไปในปี 2570 พรรคการเมืองทุกพรรคควรเห็นความจำเป็นมากขึ้นในการร่วมมือกันเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา เพื่อให้เรามีรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมในช่วงเปลี่ยนผ่าน จากวันนี้ถึงวันที่เรามีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เรามีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมากขึ้นและระบบการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้น นี่คือจุดยืนของพรรคประชาชน

สำหรับแนวทางที่จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญมีความเป็นไปได้ในการเลือกตั้งปี 2570 คือ การเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 แล้วจัดให้มีการทำประชามติเพื่อสอบถามว่าควรให้มี ส.ส.ร.ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ จากนั้นเมื่อ ส.ส.ร.ยกร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ ก็ทำประชามติสอบถามประชาชนอีกครั้งว่าจะเห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ จะเป็นการทำประชามติเพียงแค่ 2 ครั้ง ซึ่งจะเป็นไทม์ไลน์การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นไปได้ที่สุด ในการได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก่อนการเลือกตั้งปี 2570

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image