ภราดร ปริศนานันทกุล กับภารกิจ ส.ส.-รอง ปธ.สภาคนที่ 2

ภราดร ปริศนานันทกุล กับภารกิจ ส.ส.-รอง ปธ.สภาคนที่ 2

หมายเหตุ – นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ให้สัมภาษณ์พิเศษ “มติชน” ถึงการทำหน้าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 รวมทั้งการประเมินทิศทางการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาลที่มีพรรคภูมิใจไทยเป็นหนึ่งในพรรคร่วม 

เล่าถึงเส้นทางการเมืองตลอดระยะเวลา 17 ปี กับการเป็น ส.ส. 4 สมัย

ต้องย้อนไปก่อนว่าบิดาของผม คือนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เป็น ส.ส.ครั้งแรกเมื่อปี 2529 ซึ่งขณะนั้นผมอายุ 7 ปี มีโอกาสติดสอยห้อยตามพ่อไปตามสถานที่ต่างๆ เวลาไปลงพื้นที่ทำกิจกรรมทางการเมือง จึงเกิดการซึมซับเรียนรู้จนเกิดความเคยชิน เพราะเราได้เรียนพบเจอสถานการณ์ทางการเมืองหลากหลายรูปแบบ ปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจก็ผ่านมาแล้วทั้งสิ้น และหากย้อนไปช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยก็มีโอกาสทำกิจกรรมต่างๆ จนช่วงปี 4 ได้มีโอกาสเป็นประธานสภานักศึกษา

การตัดสินใจเดินสู่เส้นทางการเมือง

ADVERTISMENT

ปี 2548 ผมเรียนจบพอดีได้กลับมาทำงานกระทรวงการคลังอยู่ช่วงหนึ่ง และเมื่อมีการยุบสภา เห็นว่าผมก็อายุพอสมควรแล้วคือช่วง 26-27 ปี จึงเกิดความสนใจทำงานการเมือง แต่ปรากฏว่ามีรัฐประหารปี 2549 ทำให้ไม่ได้ลงสนามเลือกตั้ง แต่การพบปะเยี่ยมชาวบ้านก็ทำเป็นปกติ กระทั่งการเลือกตั้งปี 2550 ก็ลงสนามเลือกตั้ง

ครอบครัวให้การสนับสนุนหรือไม่

จริงๆ ที่บ้านไม่มีห้ามหรือไม่มียุ แต่เป็นลักษณะให้ตัดสินใจด้วยตนเอง เมื่อสนใจทางการเมืองจึงตัดสินใจด้วยตนเอง อาจจะมีปรึกษาพ่อบ้างว่า ถ้าจะลงสู่สนามการเมืองเป็นนักการเมือง พ่อมีความเห็นอย่างไรบ้าง ซึ่งพ่อไม่ได้ปฏิเสธหรือยุยง แต่ให้เราตัดสินใจเอง ถ้าอยากจะเป็นนักการเมืองตั้งแต่เด็กเราเห็นพ่อว่าเส้นทางของนักการเมืองไม่ง่าย ความเป็นส่วนตัวไม่มี วันหยุดไม่มี ต้องทำงาน 7 วัน วันที่ไม่มีประชุมสภาจะต้องอยู่พื้นที่ ต้องอยู่กับชาวบ้าน การที่เป็นผู้แทนไม่ได้มีแต่เกียรติยศ แต่บ่าที่นอกจากประดับบั้งแล้ว หน้าที่หลักคือแบกรับภาระให้กับพี่น้องประชาชน ดังนั้น หากรู้แล้วตัดสินใจอย่างไรครอบครัวจะไม่ห้าม ผมจึงตัดสินใจที่จะลองทำในสิ่งที่ได้เรียนรู้มาตลอดชีวิต ว่าพอถึงเวลาที่ผมได้ลงสู่สนามเลือกตั้ง ได้เป็นนักการเมืองรสชาติชีวิตจะเป็นอย่างไร จนถึงวันนี้ที่ผมได้อยู่ในเส้นทางการเมือง

การที่พ่อเป็นนักการเมืองอยู่แล้วทำให้ส่วนตัวเริ่มงานการเมืองง่ายกว่าคนอื่นหรือไม่

ส่วนตัวคิดว่ามีโอกาสมากกว่าคนอื่นสำหรับการเริ่มต้น เพราะคนอื่นอาจจะเริ่มต้นนับที่ศูนย์ แต่ผมอาจจะเริ่มนับจากหนึ่งหรือสองแล้ว เพราะผู้คนในจังหวัดที่เป็นโหวตเตอร์เรารู้จักอยู่แล้วว่าพ่อแม่คือใคร คิดว่าส่วนนี้เป็นข้อได้เปรียบเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นที่ไม่มีพื้นฐานด้านการเมืองเลย แต่ก็เป็นความได้เปรียบเพียงแค่ครั้งแรกเท่านั้น พอครั้งถัดไปผมคิดว่านามสกุลคุ้นเคยอาจจะไม่ได้เป็นความได้เปรียบแล้ว ครั้งแรกคนอาจจะเลือกเพราะนามสกุล อาจจะเลือกเพราะประวัติศาสตร์ของพ่อ แต่เมื่อมาเป็นผู้แทนครั้งที่หนึ่งแล้ว เราได้รู้จักกับชาวบ้าน ขณะที่ชาวบ้านก็รู้จักแล้วว่าคนที่เขาเลือกเป็นอย่างไร ดังนั้น การจะตัดสินใจเลือกเขาจึงไม่ได้ตัดสินใจจากคนรุ่นก่อนแล้ว แต่เป็นการตัดสินใจเพราะตัวเราที่ได้ทำหน้าที่ให้เขาดีมากหรือน้อยแค่ไหน เขาพอใจเรามากน้อยแค่ไหนในการที่จะเลือกครั้งถัดไป

ช่วงที่เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการย้ายพรรคการเมืองสังกัดตัดสินใจยากหรือไม่

เป็นการตัดสินใจยากที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง เพราะนอกจากจะตัดสินใจด้วยพื้นฐานความรู้สึกตัวเองแล้ว ยังต้องตัดสินใจบนพื้นฐานความรู้สึกของพ่อด้วย ผมและน้องชาย (กรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง) รู้ว่าพ่อผูกพันกับพรรคชาติไทยมายาวนานมาก ความรู้สึกผูกพันเกินกว่าที่พวกผมจะสัมผัสได้ มันจึงเป็นความรู้สึกลำบากใจของคนเป็นพ่อ แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่ขณะนั้นคล้ายกับบีบบังคับไปในตัวว่าจำเป็นต้องขยับขยายออกมา

เราย้อนไปในอดีตจะเห็นว่าวันนั้นพ่อต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ เพราะบนสถานการณ์การเมืองหลังรัฐประหารมา 5 ปี ไม่มีการเลือกตั้งมายาวนาน พรรคชาติไทยเป็นอีกพรรคที่เป็นเป้าหมายของฝ่ายที่ยึดอำนาจในขณะนั้น ซึ่งคนที่เป็นเป้าหมายอันดับต้นคือนายสมศักดิ์ ดังนั้น สิ่งที่พ่อกังวลคือจะทำให้พรรคมีอันเป็นไปอีกครั้งหรือไม่ เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค และเป็นผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ไม่สามารถที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพรรคการเมืองได้ แต่ด้วยสถานะของพ่อกับพรรคชาติไทยก็เหมือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พ่อจึงตัดสินใจรักษาพรรคจึงได้เดินออกมาเมื่อพ่อถอยหลังออกมา และจะได้ไม่ลำบากใจกัน เพราะถ้าพวกผมอยู่ตรงนั้นแน่นอนว่าพ่อก็ต้องเข้าไปอยู่แล้ว ก็จะเป็นเป้าหมายต่อผู้มีอำนาจในขณะนั้น เราจึงตัดสินใจเดินออกมาเช่นกัน

หากพูดถึงชื่อจังหวัดอ่างทองคิดว่าต้องนึกถึงอะไร ตระกูล ‘ปริศนานันทกุล’ เป็นหนึ่งในสิ่งที่คนจะนึกถึงเมื่อพูดถึงอ่างทองหรือไม่

อ่างทองเป็นเมืองขนาดเล็กที่มีเสน่ห์โดยเฉพาะเรื่องวัฒนธรรมและอาหาร นอกจากนี้ ยังอยู่ใกล้กรุงเทพฯสามารถเดินทางได้สะดวก ส่วนนามสกุล “ปริศนานันทกุล” จะต้องเป็นที่นึกถึงต่อไปเรื่อยๆ ด้วยหรือไม่ ผมคิดว่าชื่อนี้จะอยู่หรือไม่อยู่ขึ้นอยู่กับการกระทำของคนนั้นๆ ว่าเขาจะสร้างชื่อเสียงขึ้นมาแบบไหน สมัยหนึ่งคนรุ่นพ่ออาจจะสร้างมาอย่างดีก็ถูกทำลายด้วยคนรุ่นถัดไป จึงอยู่ที่คนรุ่นเรา รุ่นหลังจากเรา ว่าจะทำชื่อเสียงให้กับจังหวัดได้มากน้อยแค่ไหนทั้งหมดขึ้นอยู่กับการกระทำ

การเมืองในปัจจุบันยากขึ้นหรือไม่เราต้องปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง

แน่นอนว่าหลังจากรัฐประหารการเลือกตั้งครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจากไม่มีการเลือกตั้งนานถึง 7 ปี ดังนั้น โหวตเตอร์เปลี่ยนไปเยอะมาก จึงได้เห็นว่าปี 2562 วิธีการเลือกผู้แทนมีการเปลี่ยนแปลงจากปี 2554 อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการเลือกตั้งปี 2566 การตัดสินใจของโหวตเตอร์ยิ่งเปลี่ยนจากปี 2554 อย่างมหาศาล นักการเมืองจึงต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันด้วยว่าขณะนี้ประชาชนต้องการอะไร อยากเห็นนักการเมืองแบบไหน ซึ่งนักการเมืองก็ต้องปรับตัว เพราะวิธีการเลือกของโหวตเตอร์เปลี่ยนไป

ปรับบทบาทจาก ส.ส.มาเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรความรู้สึกเปลี่ยนไปหรือไม่

คิดว่าเปลี่ยนอย่างเดียวคือ จากนั่งข้างล่างขึ้นมานั่งข้างบน ทุกอย่างจึงยังเหมือนเดิม ความเป็น ส.ส. เป็นตัวแทนประชาชน การทำงานในพื้นที่จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ส่วนในอนาคตยังไม่รู้ว่าด้วยบทบาทหน้าที่จะพาเราไปทางไหน ขณะที่วิถีชีวิตในสภาอาจจะเปลี่ยนไปบ้าง จากเดิมที่อยู่ข้างล่างเป็นตัวแทนพรรคการเมือง เคยเป็นรองหัวหน้าพรรคก็มีส่วนกำหนดทิศทางของพรรค แต่วันนี้ไม่สามารถทำหน้าที่ในฐานะกรรมการบริหารพรรคได้ ดังนั้น สิ่งที่เราคิดจะคิดในนามพรรคไม่ได้ เรามาทำหน้าที่บนบัลลังก์ที่ต้องทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง แต่วิถีชีวิตไม่ได้เปลี่ยนไป ทุกวันนี้ยังกินข้าวกับเพื่อน ส.ส.ในห้องอาหารเหมือนเดิม โดยภาพรวมส่วนตัวแล้วจึงยังเหมือนเดิม

หลายคนมองสไตล์การทำหน้าที่บนบัลลังก์ว่ามีความเป็นตัวเอง และค่อนข้างแข็งพอสมควร คิดแบบนั้นหรือไม่

คนที่ทำหน้าที่เป็นประธานคือต้องควบคุมการประชุมให้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ใช้กติกาของที่ประชุมร่วมกัน ดังนั้น เมื่อเราฟังใครก็ตามที่พูดไปสักระยะหนึ่ง พอดูแล้วอาจจะขัดข้อบังคับหรืออาจจะนำพาไปสู่ความวุ่นวายในสภาก็ตักเตือนกัน ซึ่งที่ผ่านมาผมก็เบรกทุกพรรค พยายามทำหน้าที่ให้เป็นกลางสำหรับทุกคน ทั้งหมดเพื่อที่จะให้การดำเนินการของที่ประชุมสภาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่อยากให้มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะจะเสียเวลาของสภา และเสียเวลาประชาชน โดยผมทำหน้าที่ด้วยการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย หลักใหญ่คือทำอย่างไรให้สภาเดินหน้าไปได้ด้วยความเรียบร้อย สิ่งสำคัญที่สุดของการทำหน้าที่บนบัลลังก์จึงต้องยึดข้อบังคับการประชุม และรัฐธรรมนูญ เพื่อที่ทุกอย่างจะได้เป็นไปอย่างถูกต้อง และราบรื่น

มีแนวทางอย่างไรในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสภาซึ่งเป็นองค์กรด้านนิติบัญญัติ

ทุกองค์กรมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ในองค์กรใหญ่ๆ อย่างรัฐสภาก็อดไม่ได้ที่จะมีคนที่เข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์หรือเข้ามากอบโกยจากรัฐสภา สิ่งสำคัญที่สุดคือสมาชิกรัฐสภา ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ต้องไม่ไปร่วมกระบวนการที่ไม่ดี หรือหากมีใครที่ไปร่วมกระบวนการพวกเราต้องไม่ปกป้องกันเอง เราต้องยึดถือความถูกต้อง และผลประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก หากทำผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด แม้ว่าจะเป็น ส.ส.หรือเป็นใครก็ตาม ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายซึ่งต้องมีความศักดิ์สิทธิ์ และต้องไม่ช่วยพวกเดียวกันเอง

การลงมติของพรรคภูมิใจไทยในร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่กลับลำงดออกเสียงรื้อเกณฑ์ประชามติมาจากสาเหตุอะไร

เรื่องกฎหมายประชามติ ผมเป็นคนเสนอร่าง และอภิปรายเปิด ซึ่งร่างที่พรรคภูมิใจไทยเสนอเราเขียนไว้ว่าจะต้องมีจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และจะต้องมีผู้ที่เห็นด้วยเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ จุดยืนของพรรคตอนนั้นที่เราคิดกันคือการแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งผมแยก 2 อัน คือ แก้รัฐธรรมนูญอันหนึ่งกับประชามติเรื่องใดๆ ก็ตามอีกอันหนึ่ง ถ้าเป็นรัฐธรรมนูญต้องเข้ากติกานี้ แต่ถ้าไม่เป็นรัฐธรรมนูญก็ไม่จำเป็นต้องกะเกณฑ์จำนวนผู้มาใช้สิทธิ แต่ขอให้เป็นเสียงข้างมากก็พอ แต่สำหรับรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายพิเศษ จึงต้องมีการกำหนดจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของ
ผู้มาใช้สิทธิ ผมอภิปรายในสภาแม้ว่าร่างของผมจะบอกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ แต่ผมเข้าใจว่าเยอะมากอาจจะมีปัญหาได้ จึงให้กรรมาธิการไปตกลงกันว่าให้ลดเปอร์เซ็นต์ของผู้มาใช้สิทธิไม่จำเป็นต้องเป็นกึ่งหนึ่งก็ได้

ดังนั้น จึงเป็นจุดยืนว่าในเมื่อเห็นว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด เมื่อจะแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องไปถามคนที่จำนวนมากพอ ไม่ใช่แค่เอาคนมาใช้สิทธิ 5 ล้านคน แล้วบอกว่าเห็นควรต้องแก้รัฐธรรมนูญ หากเป็นแบบนี้ความเชื่อถือในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะไม่เกิดขึ้น และจะนำไปสู่ปัญหาได้ จึงกำหนดว่าควรต้องมีจำนวนผู้มาใช้สิทธิจำนวนที่มากพอให้พูดได้ว่านี่คือตัวแทนประชาชนที่เห็นว่าควรแก้รัฐธรรมนูญ นี่คือหลักใหญ่ที่พรรคภูมิใจไทยยืนมาในวาระที่ 1 

ส่วนในชั้นกรรมาธิการผมได้อภิปรายในวาระ 2 ตอนกรรมาธิการมาชี้แจงในสภา ว่าผมไม่เห็นด้วยที่กรรมาธิการเสนอ และได้ถามว่าเขามีความเห็นแบบไหน เพราะอะไรที่ไม่ต้องมีเกณฑ์แค่ใช้เสียงข้างมาก จนท้ายที่สุดในวาระ 2 พรรคก็โหวตผ่านให้ เพราะเราได้ถาม และแสดงจุดยืนแล้ว แต่เมื่อเสียงข้างมากเป็นแบบนั้นจะไปโหวตไม่ผ่านก็คงไม่ได้ จึงได้โหวตผ่านไปเพื่อให้เดินหน้าได้

แต่เกิดความสงสัยในท่าทีของพรรคภูมิใจไทยหลังจาก ส.ว.ตีกลับมา

ท่าทีของพรรคไม่เคยเปลี่ยน เพียงแต่การโหวตตอนนั้นรู้ว่าแพ้จึงเอาตามมติวิป ซึ่งเราได้สู้มาแล้วถึง 2 ครั้ง แต่เมื่อเสียงข้างมากไม่เห็นด้วยจึงต้องเป็นไปตามนั้น หลังจากนี้ก็เดินตามกระบวนการที่มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วม เพราะมติของสภาไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขของวุฒิสภาแล้วจึงดูว่ากรรมาธิการจะมีความเห็นอย่างไร และเชื่อว่าหากทำจริงๆ ก็น่าจะเสร็จในรัฐบาลนี้ได้

การแก้รัฐธรรมนูญส่วนไหนที่คิดว่าสำคัญที่สุดควรให้ลุล่วงในรัฐบาลนี้

พรรคภูมิใจไทยมีวาระเดียวคือการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ซึ่งสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา พรรคที่ยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 พรรคแรกคือพรรคภูมิใจไทย ซึ่งทุกพรรคพุ่งเป้าไปที่การตั้ง ส.ส.ร. แต่ช่วงหลังเริ่มมีการแตกออกมาว่าอาจต้องแก้ไขรายประเด็น ซึ่งขณะนั้นผมยังไม่ได้เป็นรองประธานสภา ก็ได้ไปคุยกับเพื่อนๆ พรรคอื่นว่าผมไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรายประเด็น โดยเฉพาะประเด็นเรื่องจริยธรรม เพราะเหมือนเป็นการแก้ไขเพื่อตัวเอง 

ส่วนที่มาของ ส.ส.ร.ขึ้นอยู่กับกรรมาธิการที่จะต้องคุยกัน ส่วนตัวเห็นว่าควรมาจากการเลือกตั้ง 77 จังหวัด และมาดูว่าครบทุกสาขาอาชีพหรือไม่ หากยังไม่มีสาขาอาชีพไหน ก็ไปสรรหามา แต่จะสรรหาโดยใครก็เป็นเรื่องที่กรรมาธิการต้องคุยกัน และที่เห็นว่าไม่ควรเลือกตั้งทั้งหมด เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายมหาชนที่ต้องเอาคนมาร่วมคุยกัน

วางเคพีไอในการทำหน้าที่รองประธานสภาอย่างไร

ทำงานในส่วนที่ได้รับมอบหมายให้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น สำนักประชาสัมพันธ์ที่จะพยายามทำให้สภาเป็นที่รู้จักของประชาชนมากขึ้น มีความใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น มีโอกาสเข้าถึงสภามากขึ้น มีหลากหลายโครงการที่ได้หารือกับข้าราชการไว้เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับสภามากขึ้น

ในส่วนของวุฒิสภาที่ ส.ว.ส่วนหนึ่งถูกเรียกว่า ส.ว.สีน้ำเงิน เพราะถูกมองว่ามาจากสายพรรคการเมืองหนึ่ง มองเรื่องนี้อย่างไร

ผมเห็นเขาก็เรียกตัวเองว่าสีน้ำเงิน ซึ่งอาจหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าต้องแยกส่วนกับพรรคการเมือง เพราะ ส.ว.ก็มาจากการสรรหา และการเลือกตั้งกันเอง เขาคงเลือกคนที่เห็นว่าเหมาะสม ส่วนเขาจะมีทิศทางทรรศนะทางการเมืองแบบไหนก็เป็นเรื่องของ ส.ว. ส่วนพรรคภูมิใจไทยก็มีทิศทางทางการเมืองของเขา ผมจึงเห็นว่าควรต้องแยกส่วนกัน

จะพูดอย่างไรให้ทุกคนเข้าใจได้ว่าเราก็คือเรา ส.ว.ก็คือส่วนของ ส.ว.

ถ้าเราหมายถึงผม ก็ได้ประกาศชัดแต่แรกแล้วว่าจะไม่ทำหน้าที่รองประธานสภาของพรรคการเมืองหรือของฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น แต่จะทำหน้าที่ให้กับสมาชิกทุกคน ไม่เลือกปฏิบัติ ส่วนจะเป็นแบบที่ผมพูดหรือไม่ ก็ต้องดูวันที่ผมลุกออกจากตำแหน่งไปว่าทำได้อย่างที่พูดหรือไม่ ส่วนเราที่หมายถึงพรรคภูมิใจไทย วันนี้ผมไม่ได้อยู่ในสถานะเดิมที่เคยเป็นโฆษกพรรค รองหัวหน้าพรรค หรือกำหนดทิศทางพรรคได้ ดังนั้น การกำหนดทิศทางพรรคก็ให้เป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรค ส่วนนายเนวิน ชิดชอบ กับพรรคภูมิใจไทย ทุกคนในพรรคให้ความเคารพ เพราะนายเนวินเป็นผู้ก่อตั้งพรรค และเป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคที่สามารถแสดงความเห็นใดๆ ต่อพรรคได้ ส่วนพรรคจะเดินหน้าแบบไหนเป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรค

ในอนาคตเรามีโอกาสที่จะเห็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยหรือไม่

ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชน และพรรคภูมิใจไทยเองว่าจากนี้ไปอีก 2 ปีกว่าๆ พรรคหรือนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค จะซื้อใจพี่น้องประชาชนด้วยการทำงานได้มากน้อยแค่ไหน บทบาทหน้าที่ของพรรคในสภา บทบาทหน้าที่ของรัฐมนตรีในกระทรวงต่างๆ ทำได้ดีมากน้อยแค่ไหนจะเป็นบทพิสูจน์ที่พี่น้องประชาชนจะใช้ตัดสินใจในคูหาเลือกตั้งครั้งถัดไป