สภาฯยกเคส ‘ดิ ไอคอน กรุ๊ป’ ถกญัตติด่วนแก้ปัญหาแชร์ลูกโซ่ สั่งอัพเกรดกม.3ฉบับ-ป้องกันมิจฉาชีพฉ้อโกงประชาชน
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาฯ มีการพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่อง ขอให้สภาฯพิจารณาศึกษาและแก้ไขปัญหาธุรกิจขายตรงซึ่งเป็นการฉ้อโกงประชาชน เสนอโดย นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย และญัตติของนายเอกราช อุดมอำนวย ส.ส.กทม.พรรคประชาชน ที่ให้สภาฯ พิจารณาตั้งกรรมาธิการฯเพื่อศึกษาและแก้ไขกฎหมาย เพื่อป้องกันปัญหาหาธุรกิจขายตรงหรือการตลาดขายตรงลักษณะเกี่ยวข้องกับการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือแชร์ลูกโซ่
นายเลิศศักดิ์ อภิปรายเหตุผลว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวกรณีดิ ไอคอนที่จดทะเบียนธุรกิจตลาดแบบตรง ซึ่งมีดารานักแสดงในวงการบันเทิงเป็นพรีเซ็นเตอร์ สร้างความน่าเชื่อถือให้กับสินค้าของดิ ไอคอน จนทำให้ประชาชนร่วมลงทุนหลายแสนคน สร้างมูลค่าและทรัพย์สินให้กับเจ้าของ ดารานักแสดงที่ชักชวนให้ร่วมลงทุนจำนวนมาก แต่ปรากฏว่าตัวแทนไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้ สร้างความเสียหายให้กับตัวแทนและประชาชนที่ร่วมลงทุนจำนวนมาก สร้างความเสียหายมูลค่าหลายร้อยล้านบาท จึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณารอบคอบเพื่อหามาตรการที่เหมาะสมต่อไป ตนเห็นว่าการขายสินค้าของบริษัทดิ ไอคอน อาจเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย 3 ฉบับ คือ 1.พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 มาตรา 19 2.พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 และ 3.พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527
นายเลิศศักดิ์ กล่าวต่อว่าจึงขอให้ที่ประชุมพิจารณาข้อเสนอแนะดังนี้ 1.พิจารณาศึกษา เสาะหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมโดยการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ หรือส่งญัตติดังกล่าวให้กับคณะกรรมาธิการสามัญฯ ดำเนินการศึกษาและแก้ไขปัญหา เพื่อป้องกันธุรกิจขายตรงหรือการตลาดแบบตรง เข้าลักษณะฉ้อโกงประชาชนหรือแชร์ลูกโซ่ตามอำนาจหน้าที่ต่อไป 2.ส่งข้อเสนอแนะต่างๆ ให้กับรัฐบาล เพื่อส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ เห็นว่าเรื่องการฉ้อโกงที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่ เป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ ซึ่งกรณีของดิ ไอคอน มูลค่าความเสียหายของประชาชนแทบไม่ต่างกับกรณีการฉ้อโกงของแก๊งคอลซ็นเตอร์ หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ และหากดิ ไอคอนกระทำผิดตามกฎหมายข้อใดข้อหนึ่ง ตนคิดว่าผู้บริหารดิ ไอคอนหากโยกย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปส่วนอื่น เช่น สินทรัพย์ดิจิทัล ถือว่าเข้าข่ายความผิดมูลฐานการฟอกเงิน ดังนั้นหากจะมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายโดยสภาฯ ผ่านกลไกของกรรมาธิการฯ ก็จะเป็นประโยชน์กับประชาชนในภาพรวม เพราะเนื่องจากสังคมเปลี่ยนแปลงไปมาก กฎหมายที่ใช้ในปัจจุบันออกมานานแล้ว
ขณะที่ นายเอกราช อภิปรายว่า ปัจจุบันกฎหมายที่ใช้อยู่ ผู้ประกอบการมักใช้ช่องโหว่ไปหลอกลวงประชาชน โดยเอาผลประโยชน์มาตอบแทน ล่อซื้อให้พี่น้องมาเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ ทำให้ประชาชนไม่เป็นผู้บริโภค จึงทำให้มีข่าวเกิดขึ้นทำนองนี้จำนวน เช่น ฟอร์เรกซ์ทรีดี แชร์แม่ชม้อย แชร์ซินแสต่างๆ ซึ่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชน เป็นเพราะกฎหมายที่อ่อนเกินไป ตนคิดว่าถึงเวลาแล้วที่สภาฯ ต้องทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยดูว่าจะดำเนินการแบบไหนเพื่อเป็นการปกป้องสิทธิประชาชนได้ดีที่สุด
จากนั้น ที่ประชุมอภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยทั้งหมดต่างอภิปรายเห็นด้วยกับญัตติดังกล่าว และเห็นด้วยที่จะให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจขายตรงหรือแชร์ลูกโซ่ให้ทันกับยุคสมัย และเพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงให้ลงทุนในลักษณะดังกล่าว ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ส่งญัตติดังกล่าวให้กับกรรมาธิการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด สภาฯ โดยให้พิจารณาเสร็จสิ้นภายใน 90 วัน