ผู้เขียน | ชโลทร |
---|
⦁…เดินทางไปประชุมประชาคมโลกที่สหรัฐอเมริกา อันเป็นบทบาทที่ “ผู้นำประเทศยุคใหม่” ต้องมุ่งเน้น เพราะ “ประโยชน์ในทุกมิติของประเทศ” เชื่อมโยงกับโลกแน่นหนา ชัดเจน ทุกชาติล้วนต่างแข่งขันช่วงชิงโอกาส ปัญหาที่ผ่านมา “ผู้นำ” เตรียมตัวในสาระที่ไปนำเสนอเจรจา แต่ “การเมืองในประเทศ” สแกนทุกอิริยาบถการแสดงออก เพื่อเอามาขายเป็นประเด็น “สร้างกระแสโจมตี” หาก แพทองธาร ชินวัตร ยังอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ ก็ต้องกำชับให้ทีมงาน โปรโมต “สาระในผลงานมาเป็นกระแสหลักไว้” ให้ได้
⦁…ผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ และ “พรรครีพับลิกัน” ชนะขาดลอยระดับสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ ทำให้รู้ว่า “ประเทศต่างๆ ในโลก” ที่คุยนักคุยหนาว่า “ผนึกกำลังลดความเป็นมหาอำนาจของอเมริกา” ยังไปไม่ถึงไหน เพราะหวั่นไหวใน “ความเป็นทรัมป์” ให้เห็นกันชัดๆ สำหรับ “ไทยเรา” การประเมินเต็มไปด้วยแนวโน้ม “หายใจไม่ทั่วท้อง” ด้วยต้องตั้งรับทั้งกำแพงภาษี ทั้ง “ทุนจีน” ที่จะเข้ามาอาศัยเป็นฐานอุตสาหกรรมส่งเข้าอเมริกา
⦁…ทั้งที่เป็นเรื่องควรยินดีปรีดา ที่ “อุตสาหกรรมจีน” ต้องย้ายฐานเข้ามา เพื่อแก้ปัญหา “โรงงานในจีนจะถูกสหรัฐกีดกันสินค้าหนักหน่วง” แต่เพราะรู้ๆ กันว่า หากเอา “ผลประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง” หวังอะไรแทบไม่ได้จากทุนจีน เพราะ “ไม่ได้ย้ายแค่โรงงานเข้ามา” แต่แรงงาน วัตถุดิบ เทคโนโลยี และอื่นๆ ยกเข้ามาเหมือนอาศัยแค่แผ่นดิน เพื่อประโยชน์ทาง “สิทธิการค้า” ขณะที่เรียกร้อง “สิทธิประโยชน์จากบีโอไอเต็มรูปแบบ” คำถามคือ “ไทยได้อะไร” น่าจะได้ยินบ่อยขึ้น
⦁…ชัยชนะของ “ก้าวไกล” ที่ “ไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นรัฐบาล” ทำให้เกิด “คณะก้าวหน้า” ที่ประกาศบุกเข้าครอง “องค์กรส่วนท้องถิ่น” ก่อเกิดความหวั่นไหวว่าจะสะเทือนถึง “การเลือกตั้งสนามใหญ่สมัยหน้า” จึงไม่แปลกที่ “เพื่อไทย” ซึ่งวันนี้เป็น “คู่ต่อสู้หลัก” ต้องจัดแบบ “ช้างชนช้าง” ศึกชิง “นายก อบจ.อุดร” รอบนี้จึงได้เห็นแม่ทัพ ระดับ ทักษิณ ชินวัตร ถือธงนำขึ้นเวทีประชัน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน “สนุกแน่”
⦁…ระหว่าง “ชาตินิยม” กับ “ปากท้องประชาชนนิยม” ดูจะเริ่มปะทะกันแรงและถี่ขึ้นเรื่อยๆ ที่ชัดเจนมากตอนนี้เป็นเสียงเรียกร้องให้ “ยกเลิก MOU 44” ที่ทำไว้กับ “กัมพูชา” โดยอ้างไปไกลระดับจะทำให้ “เสียดินแดน” ทั้งที่ “ผู้ที่หวังใช้ทรัพยากรทางทะเล” มาช่วยให้ก้าวสู่ “ประเทศพัฒนาแล้ว” เพื่อ “ชีวิตประชาชนจะดีขึ้น” อธิบายปากแทบฉีกว่า “ไม่เกี่ยวกับเขตแดน” แต่ชัดเจนว่า “ไม่มีใครฟัง”
⦁…ความเรื่อง “ที่ดินเขากระโดง” ที่ “นักร้องเรียงหน้าสร้างผลงาน” กันคึกคัก โดยตอกย้ำไปที่ “ทำให้คำพิพากษาศาลฎีกาไม่มีความหมาย” นั้น มีผู้เชี่ยวชาญเรื่อง “อำนาจศาล” บอกว่า “แก้ต่าง หาทางรอดได้ไม่ยาก” ให้ย้อนกลับไปเอา “คดีโฮปเวลล์” เป็นตัวอย่าง ครั้งนั้น “ศาลปกครองสูงสุด” ซึ่งสถานะคือ “ศาลฎีกาในคดีปกครอง” ตัดสินแล้ว ให้ “บังคับคดีตามคำสั่งคณะอนุญาโตตุลาการ” ที่ “กระทรวงคมนาคมและการรถไฟ” ต้องชดใช้ “ทุนที่บริษัทโฮปเวลล์ลงไปแล้วถูกเลิกสัญญา” แต่ต่อมามีการให้ “คณะทำงาน” ตั้งเรื่องผ่าน “สภาผู้แทนราษฎร” จนมีการพลิกคดีจากที่ “ศาลสูงสุด” ตัดสินไปแล้วได้
⦁…แบบนี้ “เขากระโดง” จะไปยากอะไร แค่ให้เอา “ผลการชี้ขาดของคณะทำงานกรมที่ดิน” ที่ว่า “ที่ดิน 5,000 กว่าไร่” นั้น “ไม่ใช่ของการรถไฟ” เข้าสู่ “สภาใดสภาหนึ่ง” แล้ว ให้สภาส่งเรื่องให้ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” เสนอให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” พิจารณาเพื่อให้ “ศาลชั้นต้น” พิจารณาคดีที่ “ศาลฎีกาตัดสินไปแล้ว” ใหม่ อันเป็นขั้นตอนและวิธีการที่เคยทำสำเร็จใน “คดีโฮปเวลล์” มีตัวอย่างชัดๆ อย่างนี้ “ความสำเร็จย่อมรออยู่ข้างหน้าเห็นๆ”
⦁…เชื่อเถอะ เรื่องที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ สำหรับประเทศไทยเราแล้ว “เป็นไปได้หมด” หนทางเดียวที่จะหยุดยั้งความคาดเดาไม่ได้ ด้วยไม่มีหลักการอะไรให้ “ยึดถือร่วมกัน” คือ “แก้รัฐธรรมนูญ” ให้ทุกคนรู้เท่ากันชัดๆ ว่า “จะอยู่ร่วมกันอย่างไร” ไปให้พ้นเสียจาก สภาพที่ต้องขึ้นกับ “อำนาจใครใหญ่ผลเป็นไปตามอำเภอใจของคนนั้น”






