‘โอ๊ค’ไม่ทน ตั้ง‘ทนายเดียร์’เอาเรื่องสื่อตีข่าวใส่ร้ายคดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทย

วันที่ 25 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา  น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ทนายความผู้รับมอบอำนาจ จากนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เผยแพร่ เอกสารไปยังสื่อมวลชนทุกสำนัก โดยมีเนื้อหา ดังนี้

จากประเด็นซึ่งเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนในขณะนี้ คือกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (หรือดีเอสไอ) ได้ดำเนินการสอบสวนคดีอาญาในความผิดฐานฟอกเงิน อันสืบเนื่องจากคดีทุจริตปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้แก่กลุ่มกฤษดามหานคร ซึ่งทางกรมสอบสวนคดีพิเศษจะต้องทำการสอบสวนพยานเพื่อสรุปสำนวนคดีและส่งให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องต่อไป

โดยนายพานทองแท้ ชินวัตร เป็นหนึ่งในบุคคลที่ได้รับหนังสือจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ เรื่องขอเชิญมาให้ถ้อยคำ เพื่อเข้าให้ถ้อยคำและส่งมอบเอกสารหลักฐาน “ในฐานะพยาน” และเพื่อเป็น “ประโยชน์แก่พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบคดีนี้” ที่จะส่งสำนวนการสอบสวนให้แก่พนักงานอัยการเพื่อพิจารณาต่อไป

ที่ผ่านมา มีการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนเกี่ยวกับความคืบหน้าของกรมสอบสวนคดีพิเศษในการสอบสวนความผิดอาญาฐานฟอกเงิน จากคดีทุจริตปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (อันเป็นความผิดมูลฐาน) อยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งจะปรากฏชื่อของนายพานทองแท้ ชินวัตร ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ โดยสื่อแต่ละสำนักจะมีการพาดหัวข่าว นำเสนอข่าวหรือบทความ ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งต้องขอชื่นชมและขอบคุณสื่อมวลชนหลายๆ สำนักที่นำเสนอข่าวตามข้อเท็จจริงของคดีนี้ได้อย่างตรงไปตรงมา

Advertisement

อย่างไรก็ดี กลับมีสื่อมวลชนบางท่านที่ซ่อนตัวอยู่ในสื่อบางสำนัก ได้นำเสนอข่าวต่อสาธารณะและชี้นำสังคมไปในลักษณะที่ว่านายพานทองแท้ ชินวัตร ได้ตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดอาญาฐานฟอกเงิน หรือตกเป็นจำเลยในคดีอาญาฐานฟอกเงินแล้ว โดยมิได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงในคดี และใช้การนำเสนอข่าวในลักษณะเช่นว่านั้นเพื่อผลทางการเมือง ซึ่งเหตุดังกล่าวทำให้นายพานทองแท้ ชินวัตร นั้นเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง จากบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้รับทราบถึงความเป็นมาหรือทราบในข้อเท็จจริงของคดีนี้อย่างละเอียด โดยมีการพาดหัวข่าว นำเสนอข่าว และบทความ อาทิเช่น

“ลูกโอ๊ค-พานทองแท้ มีหนาว ดีเอสไอเร่งสาว ยันชื่อเอี่ยวคดีฟอกเงินกรุงไทย 9.9 พันล้าน”
“พบอีก “โอ๊ค” มีเอี่ยวฟอกเงินกรุงไทยก้อน 500 ล้าน ปล่อยกู้อาร์เคฯ”
“ผู้ถูกกล่าวหาขบวนการยักยอกเงินกฤษดามหานครกู้กรุงไทยร่วมกับ “พานทองแท้ ชินวัตร” เข้าพบ DSI 25 ก.พ. นี้”

ทั้งจากการเข้าให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนของบุคคลอื่นๆ ในฐานะพยานในคดีเดียวกันนี้เป็นจำนวนวันละประมาณ 5-10 ปาก ตามที่พนักงานสอบสวนได้แถลงต่อสื่อมวลชนนั้น ก็ไม่ปรากฏภาพข่าวหรือการแถลงข่าวของกรมสอบสวนคดีพิเศษถึงการเข้าให้ถ้อยคำของพยานเหล่านั้นแต่อย่างใด อันแตกต่างจากกรณีของนายพานทองแท้ ชินวัตร ที่รับทราบว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีการประสานสื่อมวลชนเพื่อนัดหมายว่านายพานทองแท้ ชินวัตร จะเข้าไปให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนในวันและเวลาใด อันเป็นการปฏิบัติตนที่แตกต่างจากการปฏิบัติต่อพยานรายอื่นๆ

Advertisement

ทั้งได้ปรากฏตามราชกิจจานุเบกษาว่า เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2550 โดยคณะกรรมการคดีพิเศษ ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 2/2550 “ให้การดำเนินคดีฐานฟอกเงินกับผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สืบเนื่องจากการที่คณะกรรมการการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ได้ตรวจสอบพบการกระทำทุจริตในการอนุมัติสินเชื่อให้แก่บริษัทในเครือกฤษดามหานครนั้น เป็นคดีพิเศษ”

กรณีดังกล่าวจึงเท่ากับเป็นการกล่าวหาว่าผู้บริหารของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 5 ราย (ในขณะนั้น) มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดมูลฐานอันนำไปสู่การกระทำความผิดอาญาฐานฟอกเงิน ซึ่งโดยหลักจะต้องมีการสอบสวนผู้ที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวก่อน แต่ในความเป็นจริงนั้น คือกรมสอบสวนคดีพิเศษกลับยังไม่ได้ดำเนินการสอบสวนกลุ่มผู้บริหารของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ดังกล่าว การมีหนังสือเชิญให้บุคคลและ/หรือนิติบุคคลต่างๆ ซึ่งรวมถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร เพื่อให้ถ้อยคำ คือการเชิญไปในฐานะ “พยาน” ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดมูลฐาน แต่อย่างใด

นอกจากนั้นแล้วจะเห็นได้ว่า คดีนี้เป็นผลิตผลที่เกิดจากการรัฐประหารยึดอำนาจในการบริหารประเทศไปจากรัฐบาลภายใต้การนำของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อช่วงเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 โดยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ขึ้น เพื่อดำเนินคดีกับ ดร.ทักษิณ ซึ่งการเริ่มดำเนินคดีในช่วงปี พ.ศ. 2548 นั้น ยังไม่ปรากฏชื่อของ ดร.ทักษิณ เป็นผู้ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด แต่ได้มีการเพิ่มชื่อของ ดร.ทักษิณ เข้ามาเป็นผู้ถูกล่าวหาภายหลังจากการรัฐประหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549

และเมื่อ คตส. ได้มีมติรับเรื่องการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กับกลุ่มกฤษดามหานครมาตรวจสอบ จึงได้ปรากฏว่ามีการเพิ่มชื่อของ ดร.ทักษิณ มาเป็นผู้ถูกกล่าวหาเพิ่ม ด้วยการให้นายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ และนายอุตตม สาวนายน กรรมการบริหาร 2 ราย ที่ร่วมลงนามอนุมัติด้วย ได้ให้การต่อ คตส. ในภายหลังว่า ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ ประธานกรรมการบริหาร พูดทางโทรศัพท์แจ้งว่า อย่าถามข้อมูลให้มากนัก ขอให้พิจารณาโดยเร็ว จากนายบุญคลี ปลั่งศิริ ว่า “บิ๊กบอส” ดูดีแล้ว

ซึ่งทั้ง ร.ท. สุชาย และนายบุญคลี ต่างได้ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง จึงทำให้กลายเป็นคดีนักการเมืองที่มีศาลเพื่อพิจารณาพิพากษาคดีเพียงศาลเดียว และต้องยึดหลักฐานการไต่สวนของ คตส. และ ปปช. เป็นหลักในการพิจารณาของศาล คดีจึงมีความน่าสงสัยในหลายประเด็น เช่น ธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อให้แก่กลุ่มกฤษดามหานคร และต่อมาได้มีการปรับโครงสร้างหนี้ลดวงเงินกู้ (รีไฟแนนซ์) จากเงินต้นและดอกเบี้ยจำนวน 14,000 ล้านบาท โดยลดให้เหลือเพียง 4,500 ล้านบาท จนธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวนั้นได้รับความเสียหายเอง

ซึ่งโดยหลักแล้ว ผู้บริหารของธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวจะต้องถูกร้องทุกข์กล่าวโทษและมีความผิดเช่นเดียวกับผู้บริหารของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) แต่กลับไม่มีการดำเนินคดีในเรื่องนี้ รวมถึงผู้บริหารของธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ที่ได้ร่วมลงนามอนุมัติสินเชื่อให้แก่กลุ่มกฤษดามหานคร ที่มีจำนวน 5 ราย แต่ถูกดำเนินคดีเพียง 3 ราย จนกระทั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้มีคำพิพากษาจำคุกผู้บริหารของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ดังกล่าว จำนวน 18 ปี ส่วนผู้บริหารอีก 2 ราย ที่ร่วมลงนามอนุมัติสินเชื่อ กลับไม่ถูกดำเนินคดีเป็นจำเลยแต่อย่างใด และบางรายได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบันอีกด้วย

ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เพื่อเรียนให้สื่อมวลชนได้ทราบถึงข้อเท็จจริงและฐานะของนายพานทองแท้ ชินวัตร ในคดีนี้ ว่าอยู่ในฐานะ “พยาน” เท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดหรือรับเงินหรือทรัพย์สินจากการกระทำผิดแต่อย่างใด และยินดีให้ความร่วมมือเพื่อให้ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ยืนยันถึงความบริสุทธิ์ต่อพนักงานสอบสวน แต่ขอความเป็นธรรม ความเสมอภาค ในการปฎิบัติต่อนายพานทองแท้ ชินวัตร ดังเช่นพยานอื่นๆในคดีนี้ที่พนักงานสอบสวนได้สอบสวนเป็น “พยาน” โดยที่ไม่ได้แจ้งให้สื่อมวลชนทราบเพื่อให้เป็นข่าว

การนำเสนอข่าวที่เป็นอคติและใส่ร้ายบิดเบือนโดยการชี้นำสังคมให้มีความเข้าใจที่ผิดว่านายพานทองแท้ ชินวัตร มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ทั้งที่ความจริงได้รับหนังสือเพื่อเชิญไปให้ถ้อยคำในฐานะ “พยาน” เท่านั้น ทำให้นายพานทองแท้ ชินวัตร เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ซึ่งเข้าลักษณะการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา ทั้งนี้ หากยังคงมีการนำเสนอข่าวในลักษณะที่ทำให้คนทั่วไปเข้าใจได้ว่านายพานทองแท้ ชินวัตร กระทำผิดคดีอาญาฐานฟอกเงินนี้แล้ว คณะที่ปรึกษากฎหมายและทนายความจะพิจารณาเสนอให้นายพานทองแท้ ชินวัตร มอบอำนาจให้ดำเนินคดีต่อบุคคลนั้นตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานหมิ่นประมาท เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิและปกป้องชื่อเสียงต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image