กกต.คุย รบ. กำหนดยึดเสียงข้างมากผ่านประชามติ รณรงค์คว่ำได้ แต่ห้ามขัดขวาง

กกต.หารือ รบ.แก้ รธน.ชั่วคราว ระบุข้อความชัดเจน เสียงข้างมากของผู้มีสิทธิ ตัดหลักเกณฑ์แจกร่าง รธน.ประชาชน ไม่น้อยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ลดต้นทุนจัดพิมพ์เหลือ 200 ล้านบาท ชี้บทลงโทษไม่มุ่งเน้นฝ่ายไหน กกต.ทำผิดเองลงโทษ 2 เท่า ชี้รณรงค์คว่ำได้ ขัดขวางไปลงประชามติไม่ได้

เมื่อเวลา 12.45 น. วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมชัย ศรีสุทธิยากร คณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้สัมภาษณ์ภายหลังมีการหารือกับ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการทำประชามติ ว่า ได้มีการพูดคุยกันในเรื่องข้อกฎหมายว่าจะแก้ไขข้อกฎหมายในรัฐธรรมนูญชั่วคราวอย่างไรเพื่อให้เกิดปัญหาน้อยที่สุดในการดำเนินการ โดยเรื่องแรก คือ เกณฑ์การตัดสินของการออกเสียงประชามติ จะต้องใช้เสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิเป็นเกณฑ์ ซึ่งต้องมีการเขียนข้อความที่เหมาะสมไม่ต้องตีความเป็นอย่างไรอีก เรื่องต่อมา คือ เกณฑ์ที่จะต้องส่งร่างรัฐธรรมนูญไปให้ถึงมือประชาชน ซึ่งที่ประชุมได้หารือกันว่าจะยกเลิกหลักเกณฑ์ที่จะต้องส่งร่างรัฐธรรมนูญถึงมือประชาชนไม่น้อยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้มีสิทธิ แต่จะใช้ถ้อยคำว่า หลังจากที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญส่งรัฐธรรมนูญให้แก่ สนช.และ ครม.แล้วนั้นจะมีการทำสรุปสาระสำคัญให้แก่ กกต. โดยหลังจากการสรุปแล้วให้กกต.จัดออกเสียงประชามติ ภายในเวลาไม่น้อยกว่า 90 วันและไม่เกิน 120 วัน ดังนั้นวันออกเสียงประชามติก็จะใกล้เคียงวันเดิม หรืออาจจะบวกไปไม่เกิน 7 วัน ทั้งนี้หาก กกต.ได้วันไหนจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

นายสมชัย กล่าวว่า อย่างไรก็ดีในส่วนการจัดพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญนั้นจะเปลี่ยนเป็น 3 รูปแบบ คือ แบบแรกเป็นการจัดพิมพ์ฉบับเต็ม 1.2 ล้านฉบับแจกตามแหล่งชุมชนหรือแหล่งที่ประชาชนเข้าถึงได้ แบบที่สอง คือ การสรุปสาระสำคัญที่ทาง กรธ.ส่งให้ กกต.โดยจะมีความยาวไม่เกิน 20 หน้า พิมพ์จำนวน 6 ล้านฉบับแจกจ่าย แก่ประชาชนที่จะขอสาระสำคัญ แบบที่สาม คือ การสรุปย่อสาระสำคัญสั้นลงกว่าเดิม พิมพ์ทั้งสิ้น 11 ล้านฉบับ จัดส่งทุกครัวเรือนที่มีผู้ออกเสียงประชามติ ทั้งนี้ในการจัดพิมพ์ที่ลดลงทำให้งบประมาณด้านการจัดพิมพ์ลดลง 800 ล้านบาท เหลือเพียง 200 ล้านบาทซึ่งตรงนี้รวมไปถึงเรื่องการเผยแพร่ในรูปแบบอื่นด้วย เช่นทางเว็บไซต์หรือผ่านทางแอปพลิเคชั่น ที่ กกต.ทำขึ้น อย่างไรก็ดีงบประมาณรวมลดลงเป็นตัวเลขเท่าไหร่ยังตอบไม่ได้ต้องรอการประสานาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นด้วยแต่ไม่เกินงบที่เคยแจ้งกับทางรัฐบาล 3,400 ล้านบาทแน่นอน

นายสมชัย กล่าวว่า เรื่องที่สาม คือ การกำหนดคุณสมบัติของผู้มาใช้สิทธิ ว่า จะใช้เกณฑ์อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ในการออกเสียงประชามติ ซึ่งตรงนี้จะขยายฐานผู้ที่ออกเสียงประชามติกว้างกว่าเดิม โดยเดิมใช้ว่าผู้ที่มีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ในเดือนมกราคมของปีที่มีการออกเสียงประชามติหรือเลือกตั้ง ซึ่งเมื่อแก้ตรงนี้ก็จะสอดคล้องกับร่างรัฐธรรมนูญของนายมีชัย ที่กำหนดคุณสมบัติผู้ออกเสียงเลือกตั้ง นอกนั้นจะเป็นเรื่องของการซักซ้อมการออกเสียงประชามติว่าสิ่งใดควรทำไม่ควรทำ หลักเกณฑ์ส่วนใหญ่เป็นไปตามกฎหมายเดิมที่มี

เมื่อถามว่าประชาชนจะได้อ่านรัฐธรรมนูญกี่วัน นายสมชัย กล่าวว่า หลังจากที่กรธ.ส่งร่างและสรุปสาระสำคัญแล้ว กกต.จะมีหน้าที่เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญทุกช่องทางที่เป็นไปได้ ดังนั้นคิดว่าตั้งแต่กลางเดือนเมษายนเป็นต้นไปสาระสำคัญร่างรัฐธรรมนูญจะได้เผยแพร่ไปยังประชาชน และจะได้มีการแลกเปลี่ยนกันซึ่งกกต.จะทำหน้าที่จัดเวทีกลางให้ทุกฝ่ายที่ประสงค์จะรณรงค์ไม่ว่าจะเป็นซีกฝากรับหรือไม่รับสามารถมาใช้เวทีกลางได้ นอกจากนี้ที่ตกลงร่วมกันกับทางรัฐบาล กกต.เองมีเจตนาจะเป็นคนจัดให้มีการออกเสียงประชามติให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนทั้งผลของการลงประชามติและกระบวนการจัดทำประชามติ เป็นหลักการที่เราแสดงต่อนายวิษณุเพื่อให้นายกรัฐมนตรีทราบต่อไป

ADVERTISMENT

เมื่อถามถึงบทลงโทษของผู้รณรงค์ต่อต้าน นายสมชัย กล่าวว่า การรณรงค์ให้ไม่รับรัฐธรรมนูญทำได้ ให้ประชาชนไม่เห็นชอบทำได้ แต่กระบวนการรณรงค์ดังกล่าวต้องไม่เป็นเครื่องมือทางการเมืองคือไม่นำไปสู่การได้เปรียบเสียบเปรียบทางการเมืองหรือเอื่อกลุ่มการเมืองใด ไม่ใช้ถ้อยคำที่นำไปสู่การเสียหายต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ตรงนี้อยากให้ประชาชนสบายใจว่าไม่ได้มีกฎหมายใหม่อะไรที่จะเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นเต็มที่แต่ต้องเป็นเหตุเป็นผล

เมื่อถามถึงความแรงของร่าง พ.ร.บ.ความเรียบร้อยมีการกำหนดโทษนักการเมืองถึง 10 ปี หากออกมาปลุกปั่น นายสมชัย กล่าวว่า ตรงนี้ก็เป็นการให้คิดเหมือนกันว่าอะไรสมควรทำไม่สมควรทำ ตนคิดว่ากฎหมายเกี่ยวกับบทลงโทษดูให้ดีเป็นบทลงโทษที่ให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นประชาชน ฝ่ายการเมืองหรือตัว กกต.เอง เจ้าหน้าที่รัฐเอง โดยหาก กกต.กระทำผิดเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดำเนินการไม่เป็นกลางก็มีบทลงโทษเช่นเดียวกัน ซึ่งบทลงโทษดังกล่าวรุนแรงกว่าประชาชนเป็น 2 เท่า ดังนั้นอย่ามองว่าเป็นการมุ่งจำกัดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่จำกัดทุกฝ่าย

“ถ้าคว่ำรัฐธรรมนูญแบบสุจริตใจไม่มีบทลงโทษ แต่กรณีที่ล้มประชามติหรือการขัดขวางไม่ให้ทำประชามติเหมือนกับการขัดขวางการเลือกตั้ง ไปขัดขวางให้หน่วยงานดำเนินการไม่ได้ มีบทลงโทษ ไปดูต้นทุนการจัดเท่าไหร่ มีโทษฟ้องทางแพ่งเรียกค่าเสียหาย คนทำต้องรับผิดชอบ หากทำให้ล้มทั้งประเทศรับผิดชอบด้วย 3,000 ล้าน ใครทำเสียต้องรับผิดชอบ”

เมื่อถามว่าขณะนี้กระแสประชามติออกมาอย่างไร นายสมชัย กล่าวว่า ไม่อยู่วิสัยของ กกต. เรามีหน้าที่จัดการออกเสียงประชามติหวังว่าจะมีประชาชนออกมาออกเสียงมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะเป็นเรื่องอนาคตของประเทศชาติ อยากให้ทุกคนมีส่วนร่วม ประชาชนออกมาใช้สิทธิมากที่สุด