‘ชูศักดิ์’ ชี้ ‘อภินิหารทางกฎหมาย’ กระทบความเชื่อมั่นในหลักนิติธรรม

ชูศักดิ์ ศิรินิล (แฟ้มภาพ)
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า พยายามที่จะติดตามคำสัมภาษณ์ของรองนายกฯ ว่าการสั่งการให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีเอาแก่อดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กรณีการซื้อขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ปเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา ที่ระว่าอาจจะต้องอาศัยอภินิหารทางกฎหมาย อาจมีความยากลำบาก เดิมคิดว่าทำไม่ได้ แต่คิดว่ามีช่องทางใหม่เลยจะลองเสี่ยงทำดู  ผมจึงพยายามที่จะสืบสอบค้นคว้าดูว่าอะไรถึงจะขนาดเป็นอภินิหารเลยทีเดียว เพราะอภินิหารหมายถึงอำนาจที่เหนือปรกติที่ให้ไว้ หรือเป็นอำนาจแห่งบารมีถึงขนาดนั้นเลยทีเดียว เรื่องหุ้นของบริษัทชินคอร์ป มีข้อยุติจากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง เมื่อปี 2553 ว่า หุ้นของบริษัทชินคอร์ปเป็นของนายทักษิณ และภรรยา และพิพากษาให้เงินที่ได้จากการขายหุ้น จำนวนสี่หมื่นหกพันล้านในช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองสมัยให้ตกเป็นของแผ่นดิน
ต่อมา คตส.ได้ส่งเรื่องให้กรมสรรพากรประเมินภาษีการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป ของบริษัทแอมเพิลริช ให้แก่บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ ในที่สุดศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า การประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยของกรรมการอุทธรณ์ไม่ชอบ และพิพากษาให้เพิกถอนการประเมิน โดยเหตุผลสำคัญศาลภาษีอากรกลางได้ยึดเอาคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองว่า หุ้นทั้งหมดยังคงเป็นของนายทักษิณ และภรรยา บุตรสาวและบุตรชายมิใช่เจ้าของที่แท้จริงของหุ้น จึงมิใช่ผู้มีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มิใช่ผู้รับประโยชน์อันควรคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งก็แปลความจากคำพิพากษาได้ว่า เมื่อไม่มีการโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวเลย นายทักษิณยังคงเป็นเจ้าของหุ้นอยู่ จึงไม่มีเงินได้หรือผลประโยชน์ประการใดๆ ที่กรมสรรพากร จะประเมินภาษีได้
นายชูศักดิ์กล่าวว่า โดยหลักการโดยทั่วไป การกระทำอะไรซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นสิ่งไม่พึงกระทำ เพราะอาจแปลได้ว่ามีเจตนาไม่สุจริต มีเจตนากลั่นแกล้งเขา ทางกฎหมาย หากฟ้องเขาแล้วแพ้เขาห้ามมาฟ้องอีก จะกลายเป็นฟ้องซ้ำไม่จบสิ้น จึงมีคำกล่าวว่าฟ้องซ้ำต้องห้าม คดีนี้หากมีการประเมินภาษีอีกก็อาจพูดได้ว่าเป็นการประเมินซ้ำ หากนำขึ้นสู่ศาลก็อาจสู้ได้ว่าเป็นฟ้องซ้ำ จำเลยก็อาจอ้างได้อีกว่า ศาลได้ตัดสินเป็นที่ยุติแล้วว่าไม่มีนิติกรรมใดๆ เกิดขึ้น อีกทั้งหากจะประเมินก็ล่วงเลยเวลาของกฎหมายมานานแล้ว ก็อาจต้องตีความแบบเทียบเคียงเอาหลัก กม.แพ่งที่มิใช่ กม.ภาษีอากรมาจับโดยรวมทั้งหมดจึงต้องพึ่งอภินิหาร
“ผมเองไม่คิดว่าเป็นอภินิหารของกฎหมาย แต่อาจจะเป็นอภินิหารของการแปลความหรือตีความเสียมากกว่า ที่เห็นว่าเป็นอภินิหารแน่ๆคือกรมสรรพากรเห็นว่าทำไม่ได้มาโดยตลอดแต่มาในยุคนี้จะใช้อภินิหารว่าทำได้และจะลองเสี่ยงดู  จึงต้องตั้งคำถามว่าจะเอาอภินิหารในคดีอะไรกันบ้างนอกเหนือจากคดี ที่เกี่ยวข้องกับอดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร ที่น่าวิตกมากไปกว่านั้นหากเราจะใช้หลักอภินิหารแล้วคำถามคือหลักนิติธรรมจะไม่ใช้กันแล้วหรือ” นายชูศักดิ์ กล่าว

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image