หมายเหตุ – ความเห็นนักวิชาการกรณี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะนำดัชนีชี้วัดคุณค่าทางศักยภาพในการทำงาน หรือ Key Performance Indicator (KPI) มาใช้ประเมินการทำงาน ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ ในการแก้ปัญหายาเสพติด ปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และค้ามนุษย์
นพพร ขุนค้า
อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จ.ฉะเชิงเทรา
กรณีนายภูมิธรรมได้เตรียมนำระบบการประเมินผลความสำเร็จ ซึ่งเป็นดัชนี KPI ประเมินศักยภาพการแก้ไขปัญหายาเสพติดปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ รวมทั้งใช้ในการประเมินเลื่อนยศ ปลดย้าย ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองด้วยนั้น
ถือว่าดีที่ฝ่ายการเมืองซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการจะขันนอตข้าราชการให้ทำงานอย่างขยันขันแข็งและทำงานตามอำนาจหน้าที่อย่างถูกต้อง แต่เบื้องต้นมองว่าแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเหมือนเป็นยาแก้ปวด โดยอยากให้นายภูมิธรรมมองว่าปัญหาใหญ่ของประเทศไทยคือตัวระบบราชการว่าจะทำอย่างไรให้เจ้าหน้าที่รัฐทำงานตามอำนาจหน้าที่ และที่สำคัญคือไม่มีทุจริตในวงราชการ และสะท้อนไปถึงเรื่องต้องปฏิรูประบบราชการ
โดยที่ผ่านมานั้นขอขีดเส้นใต้ไว้ว่า ไม่มีรัฐบาลชุดไหน ที่จะพูดถึงเรื่องปฏิรูประบบราชการเลย หรือแม้กระทั่งพรรคการเมืองด้วย ถือเป็นสิ่งที่ต้องพูดถึงการปฏิรูประบบราชการการทำให้ระบบราชการและการเติบโตของข้าราชการเป็นไปตามระบบคุณธรรม โดยมีหลายองค์กรของรัฐที่ประชาชนมองเห็นด้วยสายตาและยังมีข้อสงสัยว่าการเจริญก้าวหน้านั้นไม่ได้เป็นไปตามระบบคุณธรรม ไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถในการเติบโต เช่น วงการตำรวจที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการซื้อขายตำแหน่งกันยังมีอยู่หรือไม่ ซึ่งประชาชนคงตอบกันได้ดี
แม้กระทั่งข้าราชการระดับสูง ในสายตาชาวบ้านก็ยังเชื่อว่ายังมีการวิ่งเต้นกันอยู่ ทั้งนายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด จุดนี้จึงต้องมีการเข้ามาแก้อย่างจริงจัง เพื่อให้ข้าราชการเขาทำงานแบบโปร่งใส มิฉะนั้นแล้วหากเกิดการซื้อขายตำแหน่งและยังเกิดการวิ่งเต้นกันอยู่ ระบบกาเติบโตแบบนี้ก็จะยังไม่หมดไปสักที จากแนวทางการแก้ไขปัญหาของคุณภูมิธรรม ในวันนี้ตำรวจอาจจะขยัน ผู้ว่าฯ นายอำเภอ ฝ่ายปกครอง ทหารความมั่นคงอาจจะขยัน แต่เมื่อผ่านเวลา 6 เดือนหมดไปแล้วนั้น ก็อาจคล้ายไฟไหม้ฟางที่มอดดับไป
ฉะนั้นแล้วในความเห็นนั้น มองว่าเป็นเรื่องที่ดีและเห็นด้วยอย่างไม่คัดค้าน แต่ขอให้นำจุดนี้มาทำในภาพใหญ่ในการปฏิรูประบบราชการทั้งระบบ ไม่ใช่แค่การนำเอา KPI มาจับภายใน 6 เดือน เพราะจะเป็นแค่ไฟไหม้ฟาง แต่ในความเป็นจริงนั้น KPI มันต้องมีตลอดไปเพื่อให้ข้าราชการรัดเข็มขัด ทำงานในเชิงรุกมากกว่าเชิงรับ และที่สำคัญระบบราชการจะต้องตอบสนองกับการบริการสาธารณะและความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
วันนี้ต้องพูดความจริงกันว่าประเทศไทยมีปัญหาใหญ่ ก็คือการขับเคลื่อนในระบบราชการที่มันเต็มไปด้วยกฎหมายและระเบียบอะไรต่างๆ ทำให้การทำหน้าที่ล่าช้า ไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และเหนือสิ่งอื่นใดเลยนั้น คือ การคอร์รัปชั่นในระบบราชการ จึงอยากเห็นฝ่ายการเมืองที่ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลชุดนี้จะประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ คือ ต้องปฏิรูประบบราชการอย่างจริงจัง
มิฉะนั้นแล้ว หากระบบราชการยังเป็นแบบนี้อยู่ การขับเคลื่อนอะไรของรัฐบาลจะเป็นเหมือนไฟไหม้ฟาง ถึงเวลาประกาศก็จะเอาจริงและออกมาทำกันไป จากนั้นไม่นานก็หายไป ทำให้การเดินหน้าประเทศล่าช้า โดยที่สำคัญต้องลดขั้นตอน เพราะพี่น้องประชาชนต้องไปติดต่อจุดนั้นจุดนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันในหลายจุด ถือว่าไม่ตอบสนองต่อการลงทุนของโลก โดยเราต้องยอมรับว่านักลงทุนที่เข้ามานั้นไม่โอเคกับระบบราชการไทยที่ยังคงเป็นแบบนี้อยู่ จึงอยากฝากไปถึงยังนายภูมิธรรม รวมไปถึงยังนายกรัฐมนตรีด้วยว่า ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะปฏิรูประบบราชการ และต้องประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ
โอฬาร ถิ่นบางเตียว
อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
กรณีที่นายภูมิธรรมจะนำระบบ KPI มาใช้ระบบราชการ ถือว่าเป็นวิธีการในการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ในฐานะผู้ปฏิบัติงาน ทุกคนจะต้องมี KPI เป็นตัวชี้วัดในด้านต่างๆ การประเมินผลถึงความสำเร็จ บรรลุถึงวัตถุประสงค์ รวมทั้งภารกิจหน่วยงานนั้นๆ มีมากน้อยแค่ไหน ถ้าหากบรรลุถึงภารกิจองค์กร จะทำให้การประเมินความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ของตัวเอง ถือว่าดีมาก เพราะว่าทุกองค์กรที่ทันสมัยจะใช้ KPI ประเมินความก้าวหน้าองค์กร และความทุ่มเทผู้ปฏิบัติงาน เพื่อนำไปสู่การประเมินผลในปลายปีงบประมาณ ว่าผู้ปฏิบัติงานจะสามารถไปรับตำแหน่งใหม่ๆ ที่ท้าทายมากกว่าเดิมได้หรือไม่
หลักการนี้ดี แต่จะทำได้หรือไม่จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในการสร้างความเติบโตในหน้าที่การงานของผู้ปฏิบัติขององค์กรต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานความมั่นคง ตำรวจ ทหาร ที่ผ่านมาจะพบว่ามีการใช้เส้นใช้สายเพื่อให้เติบโตในตำแหน่งหน้าที่การงาน ซึ่งไม่ได้ใช้ KPI แต่การเติบโตในหน้าที่การงานจะมาจากระบบการเมือง ระบบเส้นสาย ระบบอุปถัมภ์ ไม่ได้ใช้ระบบคุณธรรม สิ่งที่นายภูมิธรรมจะนำ KPI มาใช้ ก็เพื่อขจัดปัญหาระบบอุปถัมภ์ แต่ถามว่าจะทำจริงได้ไหม ถือว่าท้าทายมาก สำหรับองค์กรที่เต็มไปด้วยระบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึก
ส่วนจะเป็นการกดดันข้าราชการหรือไม่นั้น ถือว่ากดดันบรรดาข้าราชการแน่นอน การนำ KPI มาปรับใช้ถือว่าเป็นวิธีการทำงานที่ถูกต้องเนื่องจากการทำงานข้าราชการเป็นระบบเช้าชามเย็นชาม ทำงานตามหน้าที่ ให้ความสำคัญกับการเอาใจผู้บังคับบัญชา เพื่อหวังผลในการเติบโตทางหน้าที่การงาน โดยไม่สนใจภารกิจหลักขององค์กร ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานแบบเดิมๆ หากนำ KPI มาใช้จะทำให้ทุกคนตระหนักถึงเป้าหมายขององค์กร เป้าหมายภารกิจตนเอง เพื่อให้ตนเองทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ การนำ KPI มาใช้เป็นหลักคิดที่ดี แต่หากนำมาใช้กับระบบราชการที่ต้องเอาใจกับผู้บังคับบัญชา เพื่อให้ตัวเองมีความเติบโตในหน้าที่การงาน เรื่องนี้จะเป็นการกดดันบรรดาข้าราชการที่ทำงานระบบเดิมๆ ทำให้ข้าราชการเหล่านั้นหนักใจไม่น้อยเหมือนกัน
นอกจากนี้หากมีการนำเอาผลงาน จากการใช้ระบบ KPI มาตีแผ่ให้สาธารณะได้รับทราบ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ถ้ามองทางด้านบุคลากรทางด้านการศึกษาทุกคนจะต้องมี KPI สามารถแจกแจงได้ว่า ในปีงบประมาณนั้น ทั้งองค์กร ทั้งความรับผิดชอบ สามารถทำได้สำเร็จมากน้อยเพียงใด ถ้าหากมีการเปิดเผยโดยเฉพาะผู้มีตำแหน่งใหญ่ๆ อาทิ ระดับนายพล นายตำรวจใหญ่ หากมี KPI เปิดเผยได้ จะเห็นได้ว่ามีการทำงานทุ่มเทมากน้อยเพียงใดสมควรที่จะได้ตำแหน่ง หรือได้รับการมอบหมายงานที่สูงขึ้นไป รวมทั้งการเพิ่มขั้นเพิ่มเงินเดือน ซึ่งประเทศที่ให้ความสำคัญกับหลักธรรมาภิบาลหลักการโปร่งใส การเปิดเผย KPI ของผู้ปฏิบัติงานในส่วนราชการ เป็นสิ่งที่สมควรจะทำ เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าข้าราชการแต่ละคน ในแต่ละปีงบประมาณมี KPI อะไรบ้าง ที่บรรลุเป้าหมายได้แค่ไหน ซึ่งประชาชนจะได้เห็นผลงานที่ชัดเจนกับบุคคลที่จะต้องมารับผิดชอบงานที่สูงขึ้น
ส่วนการที่จะนำ KPI มาใช้ในการปราบปรามการค้ามนุษย์ ยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เห็นว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบงานเหล่านี้ต้องมี KPI ในรายปีงบประมาณว่า ทำงานไปกี่คดีมีความสำเร็จมากน้อยเพียงใด ความคืบหน้ากี่คดี ถือว่าเป็นบิ๊กดาต้า ดาต้าเบสที่สำคัญ ทำให้เห็นว่าองค์กรเหล่านี้ มีหน้าที่ความรับผิดชอบให้ความสำคัญกับ KPI มากน้อยเพียงใด และจะเป็นตัวชี้วัดในเรื่องของความทุ่มเทในการทำงานว่า มีความสำเร็จแค่ไหน กับงบประมาณที่ใช้ไป หากนำ KPI มาปรับใช้ จะทำให้รู้ว่าองค์กรไหนทำงาน หรือไม่ทำงาน มีความมุ่งมั่นมากน้อยเพียงใด หรือไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งในเรื่องนี้หากต้องการปฏิรูประบบราชการ ผมเห็นด้วยที่จะนำ KPI มาใช้
สำหรับเรื่องนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ หรือ กพร. สามารถทำได้อยู่แล้ว และสามารถออกแบบ KPI ให้กับทุกองค์กรหรือทุกส่วนราชการได้เลย หลังจากนั้นกระจายไปทุกส่วนราชการ ทุกระดับ พร้อมทั้งมอบหมายและกำหนดให้ทุกองค์กรมี KPI หากทำเป็นระบบถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูประบบราชการสมัยใหม่
ส่วนข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ KPI หากต้องการทำกันจริงๆ จะต้องมีเจ้าภาพในการรับผิดชอบหลัก และจะต้องออกแบบให้สอดคล้องกับระบบราชการนั้นๆ ถ้าทำจริงๆ ควรจะมีหน่วยงานนำร่อง อย่างเช่น กลุ่มสถาบันอุดมศึกษา อาจารย์ในมหาวิทยาลัยจะมี KPI ทั้งหมด อาจจะมีการขยับมาใช้กับตำรวจ กองทัพ ข้าราชการพลเรือน แล้วมาตรวจสอบว่าการกระทำความผิด คดีต่างๆ ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน มีการแก้ไขมากน้อยเพียงใด และใช้งบประมาณไปมากน้อยเพียงใด การยอมรับของประชาชนมีมากเพียงใด ซึ่งหากนำ KPI มาใช้จะทำให้ข้าราชการแอ๊กทีฟมากยิ่งขึ้น เพราะถูกจำกัดด้วย KPI ประจำปีงบประมาณนั้นๆ
ส่วนการประเมินคุณภาพของ KPI นั้น ผมมองว่าผลงานที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวประเมินของผู้ปฏิบัติเองโดยตรง ซึ่งการทำ KPI นั้นจะมาจากหลักนโยบาย ผู้ปฏิบัติก็จะมีการต่อรองกันในปีงบประมาณ ภารกิจขององค์กรที่มีอยู่จะกำหนดร่วมกันทำงานอย่างไร ซึ่งเป็นการทำงานร่วมระหว่างผู้บังคับบัญชาและตัวผู้ปฏิบัติงาน เมื่อถึงสิ้นปีงบประมาณ ทุกคนก็จะนำผลงานมาประเมินจากการทำ KPI ซึ่งจะทำให้รู้ว่าผู้ปฏิบัติงาน มีผลงานมากน้อยเพียงใดตามผลงานที่เกิดขึ้นใน KPI ผู้ประเมินก็จะประเมินตามหลักฐาน หรือผลงานที่เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นการป้องกันการเล่นพรรคเล่นพวก และระบบอุปถัมภ์ได้มาก
ส่วนการนำ KPI ไปใช้ เพื่อปลุกกระแสการทำงาน อยากให้เร่งทำในหน่วยงานที่ส่งผลกระทบกับประชาชนมากที่สุดก็คือ ตำรวจ เพราะจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ และความคาดหวังใหม่กับประชาชนว่า ตำรวจเอาจริง จากตำรวจที่เป็นองค์กรสิ้นหวัง และหมดศรัทธาจากประชาชน หากนำ KPI มาใช้เป็นตัวกำกับการปฏิบัติงานของตำรวจ และจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ประชาชนเห็นว่า ตำรวจแอ๊กทีฟ มีการปฏิบัติงานตามภารกิจ นอกจากนี้ควรจะนำไปใช้ในระบบสาธารณสุขและกระบวนการยุติธรรม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนอีกทางหนึ่งด้วย