สมรภูมิชิง อบจ.เชียงใหม่ วัดพลังเพื่อไทย-ปชน. ‘ทักษิณ’ เดิมพันสูงแพ้ไม่ได้

อบจ.เชียงใหม่ – จังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่มากเป็นอันดับหนึ่งของภาคเหนือ มีประชากรเกือบ 1.8 ล้านคน เป็นอันดับ 4 ของประเทศ ในการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงใหม่ มีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 1,264,703 คน 559,541 ครัวเรือน มีหน่วยเลือกตั้ง 2,725 หน่วย

ในทางการเมือง จังหวัดเชียงใหม่เป็นบ้านเกิดของนายใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นฐานการเมืองที่สำคัญของตระกูลชินวัตร มาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน จนถูกยกให้เป็นจังหวัดเมืองหลวงของตระกูลชินวัตร

สำหรับการเลือกตั้ง อบจ.เชียงใหม่ มีผู้สมัครนายก อบจ. 3 รายคือ หมายเลข 1 นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ จากพรรคประชาชน หมายเลข 2 นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร หรือ ส.ว.ก๊อง อดีตนายก อบจ.สมัยล่าสุด จากกลุ่มเพื่อไทยเชียงใหม่ และหมายเลข 3 พล.ต.พนม ศรีเผือด อดีตหัวหน้าการข่าว กอ.รมน. จ.เชียงใหม่ และอดีตผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ พรรครวมไทยสร้างชาติ มีผู้สมัคร ส.อบจ. 42 เขต 104 ราย

หากย้อนดูผลการเลือกตั้งนายก อบจ.สมัยที่ผ่านมา ส.ว.ก๊องแชมป์เก่า คว้าชัยชนะเหนือ “บุญเลิศ บูรณุปกรณ์” อดีตนายก อบจ. 2 สมัย กลุ่มเชียงใหม่คุณธรรม และอดีตคนคุ้นเคยตระกูลชินวัตร โดยได้คะแนนมากถึง 421,679 คะแนน ท่ามกลางเสียงสนับสนุนจากนายใหญ่ทักษิณที่ทั้งส่งจดหมายน้อยและส่งเสียงโฟนอินจากต่างแดนมาขอคะแนนสนับสนุน ส่วน ส.อบจ. 42 เขต เป็นเก้าอี้ของกลุ่มเพื่อไทยเชียงใหม่และกลุ่มเชียงใหม่คุณธรรม กลุ่มละ 21 เขตเท่าๆ กัน แต่ในภายหลัง ส.อบจ.กลุ่มเชียงใหม่คุณธรรมส่วนใหญ่ย้ายเข้าสังกัดกลุ่มเพื่อไทยเชียงใหม่แล้ว

ADVERTISMENT

กระทั่งการเลือกตั้ง ส.ส.เชียงใหม่ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยเสียพื้นที่ให้พรรคก้าวไกลถึง 7 เขต ก่อนถูกยุบพรรคและกลายเป็นพรรคประชาชนในปัจจุบัน ส่วนพรรคเพื่อไทยเหลือเพียง 2 ที่นั่ง และพรรคพลังประชารัฐได้ไป 1 ที่นั่ง หากรวมฐานเสียงด้อมส้มในเขตเมืองหลวงของตระกูลชินวัตร ถือว่ามากกว่า 7 แสนเสียง

สะท้อนถึงกระแสความนิยมที่ลดลงของของพรรคเพื่อไทย ทั้งยังส่งผลต่อความรักและศรัทธาที่มีต่อนายใหญ่ทักษิณ ดังนั้น สนามเลือกตั้ง อบจ.ครั้งนี้จึงถือเป็นศึกใหญ่ที่นายทักษิณจำต้องป้องกันพื้นที่ฐานเสียง โดยส่ง ส.ว.ก๊องลงสนามป้องกันแชมป์ เพื่อปูทางทวงคืนพื้นที่ที่เสียไปทั้ง 10 เขตในการเลือกตั้งทั่วไปรอบหน้า เหตุนี้ นายใหญ่ทักษิณจึงต้องลงพื้นที่ช่วย ส.ว.ก๊องหาเสียงหลายครั้ง หลายเวที

ADVERTISMENT

ขณะที่ฝั่งของพรรคส้มเองมีเป้าหมายขยายพื้นที่จากสนามใหญ่ รุกคืบสนามท้องถิ่นตามแนวทางกระจายอำนาจซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของพรรค โดยส่งแกนนำพรรค ทั้ง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคประชาชน ลงพื้นที่ขอคะแนนเสียงคนเมืองเชียงใหม่ และกลุ่มคนรุ่นใหม่ แฟนคลับด้อมส้มอย่างต่อเนื่อง

เมื่อส่องโปรไฟล์ เทียบฟอร์มผู้สมัคร โดยเฉพาะคู่เอกของรายการจากฝั่งเสื้อแดงและ พรรคส้ม สำหรับผู้สมัครจากพรรคประชาชน “ดร.พันธุ์อาจ” เพิ่งลงสนามการเมืองท้องถิ่นเป็นครั้งแรก จึงถูกมองว่าเป็นรองคู่แข่งอยู่มาก แต่พรรคประชาชนกลับมั่นใจเพราะ ดร.พันธุ์อาจ นอกจากเป็นลูกหลานชาวเชียงใหม่แล้ว ยังมีโปรไฟล์พรีเมียมตามแนวทางของพรรคประชาชน มีดีกรีเป็นถึงอดีตผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) มีประสบการณ์ทำงานในองค์กรของรัฐและเอกชนมาแล้วหลายแห่ง ซึ่งมีประสบการณ์ไม่ด้อยกว่าคู่แข่งแน่นอน

การลงสนามครั้งนี้ ดร.พันธุ์อาจชูนโยบายที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงใน จ.เชียงใหม่ 8 นโยบาย เน้นเรื่องสำคัญๆ ทั้งการแก้ปัญหาเมือง พัฒนาระบบขนส่งมวลชน และลดมลพิษทางอากาศ โดยมีแกนนำพรรค รวมทั้ง ส.ส.ก้าวไทยทั้ง 7 เขตลงมาช่วยหาเสียงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางกระแสข่าวการสนับสนุนจากสองพี่น้อง “ทัศนีย์-ทัศนัย บูรณุปกรณ์” อดีต ส.ส.เชียงใหม่ และอดีตนายกเล็กนครเชียงใหม่ ที่ย้ายค่ายเข้าพรรคส้มมาช่วยอีกแรง

ด้าน ส.ว.ก๊องเป็นอดีตนายก อบจ.สมัยล่าสุด ย่อมได้เปรียบกว่าเพราะมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ทำให้เจ้าตัวมั่นใจว่าจะรักษาเก้าอี้ไว้ได้ พร้อมประกาศตั้งเป้าจะต้องได้คะแนนท่วมท้น ไม่ต่ำกว่า 700,000 คะแนน เพิ่มจาก 400,000 คะแนนจากการเลือกตั้งสมัยที่ผ่านมา อีกทั้งรอบนี้มีนายใหญ่ทักษิณ พร้อมแกนนำเพื่อไทยต่างระดมสรรพกำลังทุกทิศทางช่วยหาเสียง เดินสายเปิดเวทีปราศรัยขอคะแนนและหวังพลังศรัทธากลับมาเหมือนเดิม เพราะศึกครั้งนี้นายใหญ่ประกาศแพ้ไม่ได้ ช่วงก่อนวันลงคะแนน นายใหญ่จึงวางคิวเดินสายหาปราศรัยรอบสุดท้าย ไล่จากเชียงราย ลำพูน และเชียงใหม่ ในช่วงวันที่ 29-30 มกราคม

จากการสำรวจความเห็นคนพื้นที่จากการทำโพลของพรรคเพื่อไทยเอง มั่นใจว่า “ส.ว.ก๊อง-พิชัย” มีโอกาสได้รับนั่งเก้าอี้บริหาร สมัยที่ 2 ค่อนข้างแน่นอน รวมทั้งลูกทีม ส.อบจ. กลุ่มเพื่อไทยเชียงใหม่ มีโอกาสชนะเลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 32 เขตจาก 42 เขต ที่เหลืออาจเป็นของลูกทีมพรรคประชาชนและผู้สมัครอิสระที่สอดแทรกเข้ามาบางพื้นที่

ส่วนผู้สมัครรายสุดท้าย พล.ต.พนม ศรีเผือด จากทีมเชียงใหม่รวมพลัง อดีต ผอ.กอ.รมน.จังหวัดเชียงใหม่ และเป็นอดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ประกาศตัวเป็นผู้สมัครอิสระ ไร้สี ไม่มีบ้านใหญ่ และทางเลือกใหม่ของคนเชียงใหม่ ชูนโยบาย พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษาของ ร.ร.ในสังกัด อบจ., ส่งเสริมพัฒนา รพ.สต. พัฒนาเศรษฐกิจ โดยผลักดันการเปิดการค้าชายแดนใน 5 อำเภอชายแดน และเปิดตลาดนัดชุมชนในเขตเทศบาล และ อบต.ทุกแห่ง เน้นพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนผ่านประเพณีและวัฒนธรรม ตลอดจนแก้ปัญหาหมอกควัน

ส่วนผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ต้องติดตามกันในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ว่า พลังส้มจะออกมาใช้สิทธิถล่มทลาย เหมือนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ผ่านมา และพรรคนายใหญ่จะป้องกันแชมป์และทวงคืนพื้นที่ได้ตามที่อดีตนายกฯทักษิณตั้งความหวังไว้หรือไม่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image