‘อังคณา’ ไล่ ‘อะมัด’ ไปศึกษากฎหมายเพิ่ม หลังเสนอไลฟ์ประหารชีวิตนักโทษยาเสพติด ชี้เป็นการผลิตซ้ำความรุนแรง-ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 29 มกราคม ที่รัฐสภา นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายอะมัด อายุเคน ส.ว. เสนอให้ประหารชีวิตนักโทษคดียาเสพติด ในที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวานนี้ (28 ม.ค.) ว่าเป็นการใช้การแสดงความคิดเห็นโดยอิสระ อย่างไรก็ดี ควรต้องทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตที่มีการฆ่าตัดตอนคนจำนวนมาก แต่สุดท้ายยาเสพติดก็ไม่หมดไป ทุกวันนี้ก็ยังกลับมาอีก ที่สำคัญการบอกว่าให้ไลฟ์การประหารถือเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเป็นการผลิตความรุนแรง แทนที่จะทำให้เกิดความจำและผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดหวาดกลัวที่จะกระทำผิด แต่จะทำให้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยอย่างเยาวชน มองเห็นว่าวิธีการแบบนี้เป็นวิธีการที่สามารถทำได้
นางอังคณากล่าวว่า จริงๆ แล้วเป็นที่ขัดต่อกฎหมายด้วย ขัดต่อ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ในเรื่องของการกระทำใดๆ ที่ละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มาตรา 6 ตรงนี้ ท่าน ส.ว. ผู้เสนอควรไปศึกษากฎหมายเพิ่มเติมด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากโทษคดียาเสพติดเป็นการประหารชีวิตจริงจะทำให้มีการใส่ร้ายกันในคดียาเสพติดมากขึ้นหรือไม่ นางอังคณากล่าวว่า เมื่อวานนี้ สิ่งที่พูดถึงอย่างกรณีกลุ่มชาติพันธุ์ทางเหนือ หลายคนเป็นคนไร้สัญชาติ ส่วนใหญ่ไม่มีบัญชีธนาคาร ก็จะเก็บเงินไว้ที่บ้าน บางทีเพื่อนบ้านหรือถ้ามีคนไปให้ข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และมีการยึดทรัพย์ ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่มาจากการใส่ร้ายป้ายสีได้ และเราก็มีกฎหมายที่ให้นับผู้เสพเป็นผู้ป่วย ผู้ต้องขังคดียาเสพติดลดลง แต่คนเหล่านี้ไม่หายไปไหน ยังอยู่ข้างนอก อยู่ในชุมชน ครอบครัวไม่สามารถดูแลได้ โรงพยาบาลเองก็มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นเป็นระบบก็ต้องปราบปรามผู้กระทำผิดรายใหญ่ ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง
นางอังคณากล่าวว่า ป.ป.ส.เองก็พูดว่าเมื่อก่อนยาบ้า ยาม้า คนขับรถกินกันเป็นประจำ แต่เมื่อไปเรียกว่ายาบ้าก็เหมือนกลายเป็นไฟเพิ่มมูลค่า มีคนมาขายมากขึ้น ติดยากันมากขึ้น นายกรัฐมนตรีบอกว่าจะปราบปรามอย่างเด็ดขาด ทำไมความเห็นส่วนตัวของตนคือต้องมีหลักประกันว่าอย่างเด็ดขาดคือให้ยาหมดไป ไม่ใช่ใช้วิธีการด้วยความรุนแรง ในขณะที่รัฐบาลใช้กฎหมายรัฐบาลต้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปด้วย

เมื่อถามว่า กังวลว่าการแสดงความเห็นแบบนี้จะถูกมองว่าเป็นภาพรวมของ ส.ว.ทั้งหมดหรือไม่ นางอังคณากล่าวว่า คงเป็นความเห็นของคนคนเดียว เพียงแต่ภาพเมื่อวานที่ออกมา มี ส.ว.หลายๆท่านไปยืนอยู่ข้างหลัง ที่สังคมจะมองว่าเหมือนสนับสนุน แต่อยากจะบอกว่าการเสนอเรื่องแบบนี้ในพื้นที่สาธารณะก็อาจสุ่มเสี่ยงต่อการวิพากษ์วิจารณ์ หรืออาจเป็นแนวทางที่ทำให้การฆ่าตัดตอนเกิดขึ้นอีกหรือไม่
“การประหารชีวิตไม่ได้ทำได้ง่ายๆ ต้องมีคำพิพากษาจากศาล และมีพยานหลักฐาน การกระทำผิดต้องเป็นโทษรุนแรง การพูดแบบนี้อาจเป็นการส่งสัญญาณว่าเรารับได้ และที่พูดก็คือการขัดมาตรา 6 ใน พ.ร.บ.อุ้มหาย ในเรื่องการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หากมีการถ่ายทอดสด แต่คิดว่า ส.ว.ท่านนั้นพูดเหมือนปากพาไป หรืออะไรไม่ทราบ” นางอังคณากล่าว