อนุทิน หัวโต๊ะ ระดมสมองถกแก้ฝุ่น-หมอกควัน ปิ๊งไอเดีย ให้เงินช่วยหยุดเผา ฮึ่ม ควํ่าบาตรสินค้าเกษตรนําเข้าที่มาจากการเผา
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 มกราคม ที่กระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ติดตามปัญหาหมอกควัน ไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาลดการเผา การจัดหาพื้นที่ฝั่งกลบซากพืชให้กับเกษตรกรในจังหวัดต่างๆ และการหามาตรการลด ฝุ่นละอองขนาดเล็กในกรุงเทพมหานคร ผ่านมาตรการด้านการจราจร ซึ่งเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก รวมไปถึงมาตรการป้องกันในระยะสั้น เช่น การจัดการให้ประชาชนทำงานที่บ้าน ปิดโรงเรียนเด็กเล็กในช่วงที่ค่าฝุ่นอยู่ในระดับวิกฤต
นายอนุทิน กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงเป็นใยต่อสถานการณ์นี้อย่างมากนี้อย่างมาก ซึ่งท่านได้ติดตามและประสานงาน ประชุมและเรียกประชุมหารือกับตนตลอดเวลา ในช่วงที่นายกเดินทางไปต่างประเทศ ตนได้รายงานไปว่า เราทุกคนมีความพร้อมในการรับมือป้องกันและแก้ไข นอกจากนี้นายกยังมีข้อสั่งการ ให้ตนแต่งตั้ง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมเป็นที่ปรึกษา บกปภ.ช.
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 27 มกราคม ที่ผ่านมา ตนและคณะผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย ได้เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในภาคเหนือเป็นพื้นที่ที่มีจุดความร้อนเยอะที่สุด เพราะมีการเผาพืชผลการเกษตรมากที่สุด ซึ่งข้าราชการจังหวัดทั้ง 17 ในภาคเหนือ ได้ประกาศให้เป็นพื้นที่ห้ามเผา และมีการสั่งการยกระดับทุกมาตรการ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจังหวัดใช้ระบบเบ็ดเสร็จ (single command) เพื่อบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานทุกภาคส่วน ตนจึงขอความร่วมมือกับทุกหน่วยงาน การทำงานร่วมกันครั้งนี้ เป็นรูปแบบตัวแทนรัฐบาล ไม่ใช่กระทรวงมหาดไทยไปสั่งงานกระทรวงใด แต่ทำภาจใต้พ.ร.บ.ป้องกันสาธาณภัยแห่งชาติ และขอให้นำความไปแจ้ง เพื่อให้หน่วยงานให้ความร่วมมือกับผู้ว่าราชการจังหวัด
นายอนุทิน กล่าวว่า หากเราร่วมมือกันเต็มที่ก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด เพราะปัญหามาจากการเผา หากลดการเผาได้ มลภาวะทางอากาศก็จะลดลง จึงไม่ต้องกังวลว่าเพื่อนบ้านจะทำอย่างไร เราต้องจัดการในบ้านของเราให้เรียบร้อยก่อน ถ้าในบ้านเราเรียบร้อยแล้วแล้วยังมีเหตุ มาจากเพื่อนบ้าน ก็จะมีความกดดันมายังรัฐบาลรัฐบาลก็จะต้องเร่งไปเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน ในการคว่ำบาตร ไม่อุดหนุนสินค้าทางการเกษตร หากมาจากการเผาวัชพืชเหล่านี้ และก่อให้เกิดมลพิษข้ามมายังประเทศเรา สิ่งสำคัญคือเราต้องดำเนินการแก้ไขในบ้านของเราให้เรียบร้อยเสียก่อน
นายอนุทิน กล่าวว่า ที่ อ.แม่แจ่ม ที่เดียว อาจทำให้หมอกควันปกคลุมทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่เชียงใหม่อย่างเดียว เพราะมีซังข้าวโพด ถึง 700,000 กิโลกรัม ทำให้เกิดความเสียหายมหาศาล ซึ่งต้องดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวด เช่นที่เชียงใหม่ที่ทำคือให้มีการฝังกลบ หรือแปรสภาพเศษซังข้าวโพด ซึ่งรัฐต้องสนับสนุน เครื่องจักรเข้าไป หรือนำไปเป็นเชื้อเพลิงไบโอเพาเวอร์ เอาไปเป็นไอน้ำความร้อนฝ่ายผลิตไฟฟ้า เอาไปแปรสภาพเป็นอาหารสัตว์ หรือทำปุ๋ยชีวภาพ แต่ภาครัฐต้องช่วย
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า เราเจอภัยพิบัติมาโดยตลอด ต้นปีภาคเหนือไตรมาส 3 ภาคกลางไตรมาส 4 ภาคใต้ เราใช้เงินเกือบ 20,000 ล้านบาท เป็นค่าชดเชยทดแทนความเดือดร้อน หลังคาเรือนละ 9,000 บาท ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้ก็ใกล้เคียงกัน น้ำลดหรือเพิ่มเกิน 3 วัน ชาวบ้านได้เงิน แต่กรณีหมอกควันยังไม่เกิดขึ้น เราจะเอาเงินไปให้ชาวบ้านก่อนไม่ได้ ซึ่งต้องเกิดการเผา และเกิดมลพิษควันดำก่อน เพราะกว่าจะเอาเงินออกมาได้ความเสียหาย ค่ามลพิษต้องเกิน 150 ไมโครกรัม หากไปถึงจุดนั้นประเทศไทยมืดมิดไปทั้งประเทศ ถึงจะนำเงินไปใช้ได้ จึงขอข้อแนะนำช่วยกันคิดการสนับสนุนของแต่ละจังหวัด ในการผลักดันให้มีงบช่วยเหลือ ชาวบ้านก่อนเพื่อที่จะให้หยุดเผา เป็นจุดที่ต้องวางมาตรการ มันดูเหมือนภัยพิบัติแต่การช่วยเหลือแตกต่างกัน
นายอนุทิน กล่าวว่า ในส่วนนี้ ขอความร่วมมือทุกฝ่ายความมั่นคงทหาร ตำรวจ ภาครัฐเกษตรทรัพยากร และหน่วยงานเทคโนโลยีให้ช่วยกัน ส่วนที่บังคับใช้กฎหมายก็ต้องทำอย่างเต็มที่ ไม่ให้เกิดการกระทำที่ผิดกฎหมายและก่อให้เกิดความเดือดร้อน