‘คลัง’ลุ้น 5 ปัจจัย ดันเศรษฐกิจปี’68 โต3.5%

‘คลัง’ลุ้น 5 ปัจจัย ดันเศรษฐกิจปี’68 โต3.5%

หมายเหตุนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2568

กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวเร่งขึ้นที่ 3.0% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.5-3.5%) โดยมี 4 ปัจจัยบวกหลัก ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 3.3% ต่อปี เป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและรายได้เกษตรกรที่ขยายตัวดีต่อเนื่อง และมูลค่าการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัว 4.4% ต่อปี สอดคล้องกับความต้องการสินค้าของตลาดโลกและเศรษฐกิจคู่ค้าที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงภาคการท่องเที่ยวคาดว่าจะยังขยายตัวต่อเนื่องด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 38.5 ล้านคน คิดเป็นรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 1.83 ล้านล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปที่ 4.75 หมื่นบาท ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนจากการยกเว้นวีซ่า และยกเว้นแบบ ตม.6 ของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ อาทิ จีน คาซัคสถาน

ส่วนด้านการลงทุนในปี 2568 จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทย โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจาก 2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1.การลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% ต่อปี จากการเร่งดำเนินโครงการขนาดใหญ่ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนโดยบีโอไอ ซึ่งมีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงกว่า 1.14 ล้านล้านบาทในปี 2567 สูงสุดในรอบ 10 ปี และมีโครงการยื่นขอส่งเสริมกว่า 3,100 โครงการ ซึ่งคาดว่าจะทยอยลงทุนจริงภายใน 1-4 ปี หลังการอนุมัติ และ 2.การลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.4% ต่อปี จากความต่อเนื่องในการเบิกจ่ายรายจ่าย
ลงทุนและการเร่งรัดโครงการสำคัญ และยังส่งผลให้การบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 1.3% ต่อปี สำหรับเสถียรภาพภายในประเทศของปี 2568 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.9% ต่อปี เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวดี ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) สะท้อนถึงศักยภาพที่เข้มแข็งของภาคต่างประเทศ และการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ ในมุมมองของ สศค.นั้น เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีโอกาสขยายตัวได้สูงกว่า 3.0% หากภาวะเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศเอื้ออำนวย รวมถึงมีการเร่งรัดและติดตามผลการดำเนินของนโยบายต่างๆ อย่างเต็มที่ ดังนี้ 1.การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2568 ทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายโดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน ที่ตั้งเป้าหมายการเบิกจ่ายเพิ่มจากปกติที่ 75% เป็น 80% จากรายจ่ายลงทุนทั้งปีงบประมาณ 2568 มีผลให้จีดีพีขยายเพิ่มอีก 0.11%

2.การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายของประชาชนภายใต้โครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต (ระยะที่ 3) เพื่อทำให้เม็ดเงินทั้งหมดถูกใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่และทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากที่สุด คาดว่ามีผลให้จีดีพีขยายได้ 0.1% 3.การเร่งรัดการลงทุนในโครงการบ้านเพื่อคนไทยเพื่อให้เกิดการลงทุนตามแผนงาน ที่ในปี 2568 จะลงทุน 870 ล้านบาท คาดว่าจะมีผลต่อจีดีพี 0.002%

ADVERTISMENT

4.การกระตุ้นการท่องเที่ยวในภาพรวมและช่วงปลายปีที่ประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ช่วงปลายปี 2568 ถ้าสามารถเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ
เดินทางเข้าไทยเพิ่ม 5 แสนคน ก็จะส่งผลให้จีดีพีขยายตัวอีก 0.15% และ 5.การเร่งรัดโครงการการลงทุนของภาคเอกชนหลังได้รับการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนแล้ว โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับดาต้าเซ็นเตอร์ และคลาวด์ เพื่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนจริง ราว 7.5 หมื่นล้านบาทรวมไปถึงการลงทุนของบริษัทกูเกิล อีกราว 2.5 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้กระตุ้นจีดีพีขยายตัวได้อีก 0.19% ดังนั้น หากทำให้ทั้ง 5 ข้อข้างต้นนี้คาดว่าจะเพิ่มอัตราการขยายตัวได้อีก 0.5% ทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2568 สามารถขยายตัวได้ถึง 3.5% ตามกรอบบนของช่วงคาดการณ์ ทั้งนี้ จีดีพี 3.5% ถือเป็นการตั้งเป้าหมาย ซึ่งในฐานะของคนทำนโยบายก็ต้องมีความมั่นใจและเชื่อมั่นว่าเป็นไปได้ 100%

นอกจากนี้เรื่องนโยบายการเงิน รวมทั้งภาพรวมเศรษฐกิจ และนโยบายนั้น กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้มีการนัดหารือกันทุกเดือน เพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจร่วมกัน โดยเริ่มนัดครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยการหารือระหว่างคลัง ธปท. และสภาพัฒน์ ประจำทุกเดือนนี้ เพื่อร่วมกันติดตามสถานการณ์ และวางแนวทางนโยบายเศรษฐกิจและการเงินของประเทศอย่างเข้มข้นมากขึ้น จากที่ปกติก็มีการพูดคุยกันเป็นประจำอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ยังควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด อาทิ แนวทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และการตอบโต้ของประเทศต่างๆ ที่ได้รับผล
กระทบ การนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้นกับผลกระทบต่อภาคการผลิตของอุตสาหกรรมไทย ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทย ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในหลายภูมิภาคที่อาจสร้างความผันผวนและจำกัดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย และปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจของไทย ซึ่งอาจกระทบกำลังซื้อและการใช้จ่ายในระยะต่อไป

ส่วนการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.5% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.3-2.8%) ขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2566 ที่ขยายตัวที่ 1.9% ต่อปี โดยได้แรงสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเท่ากับ 35.5 ล้านคน การบริโภคภาคเอกชนที่คาดว่าจะขยายตัว 4.7% ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สูงขึ้น มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่คาดว่าจะขยายตัว 5.9% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ การบริโภคภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 0.6% และการลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.1% อย่างไรก็ดี ประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 ครั้งนี้ ลดลงจากประมาณการเมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่มองว่า2.7% สาเหตุสำคัญคือ การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าหดตัวที่ -2.7% เนื่องจากการหดตัวของการลงทุนด้านเครื่องจักรเครื่องมือโดยเป็นผลมาจากยอดขายรถยนต์สันดาปที่ลดลง ประกอบกับการเข้าถึงสินเชื่อที่ยากทำให้ผู้ประกอบการยังชะลอการตัดสินใจลงทุน ซึ่งต้องจับตาการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไป

สำหรับในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ ปี 2567 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.4% เนื่องจากราคาพลังงานในตลาดโลกปรับตัวลดลง สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะเกินดุล 1.05 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.0% ของจีดีพี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image