ผู้เขียน | ชโลทร |
---|
⦁…ชนะสนามเดียว ใน 48 จังหวัดที่เลือก “นายก อบจ.” แถมมากกว่าไม่กี่พันคะแนนทว่าสปอตไลต์การเมืองกลับส่องเต็มกำลังไปที่ “ลำพูน” โฟกัสของความสนใจคือ “ความต้องการพิสูจน์” ว่า “พรรคประชาชน” ที่เนื่องต่อมาจาก “อนาคตใหม่-ก้าวไกล” ที่ถูกกีดกันทุกวิถีทางไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับ “การบริหารอำนาจรัฐในทุกระดับ” จะจัดการอย่างไรกับโอกาสที่ได้มา เริ่มต้นจาก จะรักษาไว้ได้หรือไม่ ด้วย “การขุดคุ้ยที่มาของตระกูล” เข้มข้น และเอาตายตั้งแต่เริ่มต้นสะท้อนนับวันการเมืองยิ่งเป็น “เวทีที่โหดเหี้ยม”
⦁…เพราะโจทย์ใหญ่ของ “พรรคประชาชน” คือ “บริหารอำนาจด้วยแนวคิดใหม่” และมิเพียง “ลำพูน” ที่จะใช้เป็น “ต้นแบบ” โชว์ให้เห็น “ประสิทธิฝีมือ” ดังนั้นทุกมันสมองของ “ทีมอนาคตใหม่” ทั้งที่ยังถูกตัดสินทางการเมือง และที่ยังบริหารพรรค จะต้องทำให้เห็นให้ได้ว่า “ความพยามยามกีดกัน” คือ “ทำร้ายการพัฒนาประเทศ และความหวังในชีวิตที่ดีงามของประชาชน” การทำให้ วีระเดช ภู่พิสิฐ เป็น “นายก อบจ.คุณภาพใหม่” ให้ได้เห็นกันทั้งประเทศ คือ “ภารกิจมุ่งเน้น” ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ ปี 2570 เพื่อลบข้อสงสัย “อุดมการณ์สูงส่ง นำมาปฏิบัติได้หรือไม่” ให้หมดไป ปีกว่าๆ หลังจากนี้ “ลำพูน” จะถูกทำให้เป็นจังหวัดที่คนทั้งประเทศกล่าวถึง
⦁…แต่โจทย์ที่ใหญ่กว่าคือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่สุดแล้ว “ต้องยอมรับความพ่ายแพ้” โดยเฉพาะในเชิง “พื้นที่ยุทธศาสตร์” อันหมายถึง “ภาคตะวันออก” ที่ไล่ตั้งแต่ “สมุทรปราการ” ลงไป จนถึง “ตราด” อันเป็นสนามที่ชัดเจนว่า “การเลือกตั้งใหญ่กวาด ส.ส.ในทุกเขต” ทำให้ต้องทบทวนว่า “ความล้มเหลวจากการรักษาพื้นที่” ด้วยมีความชัดเจนว่า “สร้าง ส.ส.” ได้ แต่ “ขยายบทบาทให้ ส.ส.ศรัทธาประชาชนไว้ไม่ได้” นี่เป็นเรื่องสำคัญของการบริหาร เพราะสะท้อนถึง “ความไม่ยั่งยืน” ซึ่งสะท้อนถึง “ความสามารถในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง”
⦁…เมื่อ กกต. “ดีไซน์วิธีเลือกตั้ง” แล้วส่งผลให้เกิด “ความไม่สะดวกของคนรุ่นใหม่” ด้วยยากที่จะทิ้งเวลาในการทำมาหากินไปใช้สิทธิ แต่ละหน่วยเลือกตั้ง “เปอร์เซ็นต์ผู้ใช้สิทธิ” สะท้อนให้เห็นชัดในหลายพื้นที่ว่าเป็น “การเลือกตั้งของคนส่วนน้อย” ที่มาลงคะแนนได้ส่วนใหญ่เป็น “ผู้อาวุโส” ทำให้ความผูกพันส่วนตัวมีน้ำหนักต่อการตัดสินใจมากกว่า “ความหวังในความเปลี่ยนแปลง” บารมีของ “บ้านใหญ่” จึงครึกโครม เหนือกระแส “อุดมการณ์” ทั่วทุกหัวระแหง
⦁…ไม่เพียง “คณะอนาคตใหม่” ที่มี “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-ชัยธวัช ตุลาธน และเพื่อนพ้อง” ที่มุ่งมั่นนำเสนอ “เปลี่ยนโครงสร้างอำนาจ” เพื่อนำประเทศออกจาก “การแช่แข็ง” เท่านั้นที่ยังต้องเหนื่อยต่อไป แม้แต่ ทักษิณ ชินวัตร ที่พยายามสร้างผลงานเพื่อรักษาคะแนนนิยม หากทบทวนให้กระจ่างย่อมต้องรู้ตัวว่า “การฟื้นฟูพรรคที่เริ่มจากรวบรวมฐานบ้านใหญ่” ถึงวันนี้ “ไม่ง่ายเลย” หากย้อนไปฟัง อนุทิน ชาญวีรกูล พยายามชี้ให้เห็น “17 ปีที่ผ่านมา เงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยนไปแล้ว” ให้ชัดๆ จะรู้ว่า “วันนี้ใครหมู่ ใครจ่า”
⦁…ปัจจัย เงื่อนไขของการ “ประกาศชัยชนะ” ที่ เนวิน ชิดชอบ ชี้ทางให้ “พรรคสีน้ำเงิน” กวาด “เก้าอี้แทบเกลี้ยงในวุฒิสภา” และสร้างความสนุกสนานให้ อนุทิน ชาญวีรกูล เดินประกาศ “กินส้มเกลี้ยง” หยอกล้อลูกพรรคด้วย “ปี๊บคลุมหัว” ในจังหวัดที่ ทักษิณ ชินวัตร มาประกาศ “ไล่หนูตีงูเห่า” ในค่ำที่รู้ผลเลือกตั้ง อบจ. เท่ากับยืนยันว่า “การอ่านขาดทางการเมือง” ไม่ใช่เรื่องที่ “ใครจะละเมอเอา” ผู้เป็น “ของจริง” นั้น “นิ่งพอที่จะไม่ฟุ้งด้วยราคาคุย”
⦁…หลังศึก อบจ.รอบนี้ ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า พรรคที่เข้าใจการเมืองไทยที่สุดคือ “ภูมิใจไทย” ในความเป็นจริงที่ว่า ทั้ง “เพื่อไทย” และ “ประชาชน” ทุ่มเทหนักหน่วงในการช่วยผู้สมัครรวบรวมเสียง แต่ “ผู้นำภูมิใจไทย” แทบไม่ขยับในเชิงกำลัง แต่ใช้ “มันสมอง” วางกลยุทธ์ว่า “จะสู้ด้วยอะไร” และบริหารตามวิธีการนั้น กลับประสบความสำเร็จระดับที่เรียกว่า “จะเอาเมื่อไรก็ได้” หากเป้าหมายเลือกตั้งใหญ่ปี 70 คือ “ยึดเก้าอี้นายกรัฐมนตรี” ย่อมท้าทายว่า “ทักษิณ” ที่ฮึกเหิมยิ่งในช่วงที่ผ่านมา ต้องทำงานหนัก เพราะ “คู่ต่อสู้สำคัญ” ไม่ใช่ “พรรคประชาชน” ที่ถูกปฏิเสธจากกลไกอำนาจ แต่เป็น “ภูมิใจไทย” ที่ชัดเจนยิ่งใน “จุดยืนที่เลือกแล้ว” ชัดเจนกว่า “เพื่อไทย” เสียด้วยซ้ำ





