นายกฯ หนุนแนวคิด ‘4 GO’ ขับเคลื่อนอุตฯเดิม หนุนนวัตกรรมใหม่ คู่พลังงานสีเขียว ดึงจีดีพีสูงขึ้น

‘นายกฯอิ๊งค์’ เผยรัฐจับมือเอกชนดึงศักยภาพพัฒนาอุตสาหกรรมไทย หนุนแนวคิด ‘4 GO’ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเดิม-หนุน นวัตกรรมใหม่-คู่พลังงานสีเขียว ดึงจีดีพีประเทศไทยสูงขึ้น

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน FTI EXPO 2025 และปาฐกถาพิเศษ “จุดประกายอุตสาหกรรมไทย สร้างเศรษฐกิจใหม่นำประเทศสู่ความยั่งยืน” มี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ร่วมงาน โดยก่อนหน้าหน้า น.ส.แพทองธาร ได้เยี่ยมชม FTI Pavillion และนำเสนอแนวคิด “4 GO” โดยการจัดงานครั้งนี้เป็นการแสดง ศักยภาพอุตสาหกรรมไทย ที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลก

น.ส.แพทองธารกล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มางานที่มีความสำคัญต่อประเทศไทย ภายใต้แนวคิดเสริมพลังอุตสาหกรรมไทยเพื่ออนาคตไทยที่ยั่งยืน ตั้งแต่เดินเข้ามาได้เห็นบูธต่างๆ เห็นเลยว่าแม้จะมีการจัดบูธไม่ใหญ่มาก แต่นี่คือพลังอันสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย อย่างที่ประธานอุตสาหกรรมพูดไว้อุตสาหกรรมเป็น 1 ใน 3 อุตสาหกรรม ที่ผลักดันจีดีพี ของประเทศ และเอกชนคือผู้ที่ลงทุนลงแรงในการหาข้อมูลการผลิตพัฒนาคนในหลายด้าน เพื่อให้อุตสาหกรรมแข็งแรงมากยิ่งขึ้น และภาครัฐพร้อมที่จะสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย ให้ไปต่อได้ไกลขึ้น เพื่อให้ทั่วโลกรู้ว่าเราเปิดแล้วหลังโควิดเราไม่ได้หายไปไหน แต่ยังแข็งแรงเหมือนเดิมและพร้อมจะเป็นแหล่งของการผลิตอุตสาหกรรม ผลิตคนที่สามารถพัฒนาต่อยอดได้อีก

ADVERTISMENT

นายกฯกล่าวว่า มั่นใจว่าคนไทยจะเกิดแรงบันดาลใจ เมื่อเอกชนและรัฐบาลทำงานร่วมกันเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถต่อยอดอุตสาหกรรมของไทยไปต่อได้อย่างเข้มแข็ง และจากนโยบายที่แถลงไปต่อรัฐสภาว่าจะวางนโยบายยุทธศาสตร์พัฒนาภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการมุ่งเร่งการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมในอนาคต พัฒนาเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ เอื้อต่อการพัฒนารวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และการพัฒนาคนไปพร้อมกัน นี่คือการยกระดับฐานการผลิตเพื่อให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นเป็นที่ยอมรับต่อทั่วโลกมากยิ่งขึ้น การสร้างมูลค่าเพิ่มต่อสินค้าและบริการจะสามารถสร้างโอกาสและความแตกต่างให้ประเทศไทยและโปรดักส์ที่ผลิตขึ้นในไทย Made in Thailand ของเราเข้มข้นขึ้นและเป็นสิ่งที่ได้มาตรฐานต่อทั่วโลกมากยิ่งขึ้น สิ่งนี้จะสามารถทำให้ผลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศไทยได้และจริงๆเอสเอ็มอีของเรามีเปอร์เซ็นต์มากถึง 75% และมีหลักในการพัฒนา เรื่องของเอสเอ็มอีให้ได้มากสุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกฎหมายต่างๆที่มีมานานแล้วและหลายกฎหมายที่ค่อนข้างซ้ำซ้อนมากเกินไป ซึ่งในระดับกระทรวง รัฐมนตรีก็จะสามารถช่วยกันได้ ตรงไหนที่สามารถปรับหรือยกเลิกใช้ในบางอย่างเพื่อเปิดช่องทางให้กับเอสเอ็มอี และประเทศไทยได้มีโอกาสเพิ่มการลงทุน เพิ่มศักยภาพมากยิ่งขึ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก
ส่วนเรื่องกฎหมายพร้อมที่จะดูเพื่อให้เกิดความสะดวกต่อ วันนี้เราจะฉายภาพใหม่ให้ทุกคนได้เห็นภาพตรงกัน ว่าสามารถเปลี่ยนอุตสาหกรรมไทยให้ทั่วโลกเกิดการยอมรับและมองเห็นจริง

ADVERTISMENT

โดยรัฐบาลจะเพิ่มความแข็งแกร่ง ตามแนวทาง 4 GO คือ ระบบโครงสร้างพื้นฐาน ในระบบเอไอ ระบบดิจิทัล รวมถึงดาต้าเซ็นเตอร์ ที่รัฐบาลสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง โดยให้ผู้บริหารจากทั่วโลกเห็นว่าประเทศไทยเรามีศักยภาพพร้อมที่จะลงทุนมากยิ่งขึ้นและจะสนับสนุน SME กลุ่ม Start Up ต่างๆให้เกิดความสะดวก ง่ายต่อการมาลงทุนในไทย พร้อมพัฒนา AI ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเรื่องของนวัตกรรมและอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีด้าน AI มั่นใจว่าจะแล้วเสร็จในไม่ช้านี้ รวมถึงผลักดันเรื่องของนวัตกรรม เพราะวันนี้โลกเราเปลี่ยนไปเร็วมาก หน่วยงานภาครัฐและเอกชนทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ จะเอื้อประโยชน์อย่างมากให้กับภาคอุตสาหกรรม

ขณะที่เรื่องพลังงานสีเขียว ที่ทั่วโลกตระหนัก เพราะมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ การลงทุนต่างๆต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งจะเป็นตัวแปรทำให้สร้างโอกาสและเป็นความท้าทายของประเทศ ขณะเดียวกันการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงเรื่องพลังงานสีเขียวจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับประเทศไทยมาก จะทำให้ทั่วโลกรู้ว่าแม้เราจะพัฒนา AI เทคโนโลยีปัจจัยแค่ไหนก็ยังมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย

นอกจากนี้รัฐบาลยังได้จัดทำกลไกที่ทำให้เกิดการจงใจในการประกอบธุรกิจเปลี่ยนแนวธุรกิจสีเขียว และต่อยอดการขยายข้อตกลงทางการค้าถือเป็นสิ่งสำคัญ และรัฐบาลไทยได้ลงนามเอฟทีเอ เมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่กรุงดาวอส ถือเป็นเอฟทีเออันดับแรก ที่เซ็นร่วมกับประเทศที่อยู่ในอียูและเชื่อว่าจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคตเราไม่ได้โฟกัสที่อียู อย่างเดียว ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์หรือภูฏานก็เป็นสิ่งที่ประเทศเรามุ่งเน้นเช่นกันว่าจะได้เซ็นเอฟทีเอเพิ่ม เพื่อเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีของไทยความเสรีการค้า ก็จะเป็นโอกาสของคนไทย ซึ่งทั้งหมดการที่เราร่วมมือกับประเทศต่างๆจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านการวิจัย ถือเป็นสิ่งสำคัญเราต้องลงทุนเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อพัฒนาต่อไปอย่างเข้มแข็งและมีรากฐานที่มั่นคง

“วันนี้เรามาถึงจุดที่เวลาหมุน และไม่สามารถรอได้ประเทศไทยมีคนที่มีศักยภาพ ที่เราพร้อมสนับสนุน เพิ่ม ความสามารถ ของคนไทยให้มูลค่าของคนไทยมีคุณค่ามากและมั่นใจว่าเมื่อรัฐบาลและเอกชนร่วมกันทำงานแบบนี้จะสามารถพัฒนาทั้งคนและอุตสาหกรรมให้เติบโตไปพร้อมกันอย่างเข้มแข็งและ เชื่อว่าถ้าอุตสาหกรรมเข้มแข็งในอนาคตการเตรียมความพร้อมสำหรับคน เด็กรุ่นใหม่รุ่นใหม่ขึ้นมามีความรู้ ความสามารถในเรื่องอุตสาหกรรมมากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ทำได้อย่างแน่นอน ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดงานนี้ขึ้นมานอกจากเป็นงานที่มาแสดงศักยภาพของคนไทยแล้วเชื่อเป็นอย่างยิ่งจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับอีกหลายคนในประเทศและต่างประเทศด้วย เมื่อเราทำงานร่วมกันอุตสาหกรรมนี้จะถูกพัฒนาอย่างยั่งยืนและเศรษฐกิจถูกกระตุ้น ประเทศไทยก็จะมีกินมีใช้ ขอให้ทุกคนทำงานร่วมกันแบบนี้และขอบคุณความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอีกครั้ง” นายกฯกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image