สนธิญา ร้องป.ป.ช. ตรวจสอบปม ‘สุชาติ-บิ๊กโจ๊ก’ ไปคุย ‘วันนอร์’ ก่อนนั่งประธานป.ป.ช. พร้อมขอให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าเรื่องจบ
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายสนธิญา สวัสดี นักร้องเรียนทางการเมือง เข้ายื่นต่อป.ป.ช. ให้ไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่ นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธาน ป.ป.ช. เดินทางพร้อมคู่กรณี พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล เข้าไปพบนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ก่อนปีใหม่ และมีการพูดคุยเรื่องการร้องเรียน และการเลือกตั้ง ประธาน ป.ป.ช. ที่ได้รับการโปรดเกล้า เมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา และในระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงขอให้ ประธาน ป.ป.ช. ยุติการปฏิบัติหน้าที่ไปก่อน จนกว่าผลการไต่สวนจะถึงที่สุด
นายสนธิญา กล่าวว่า ตนขอใช้สิทธิจากรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 41(1)(2) เพื่อให้ไต่สวนเพื่อหาข้อเท็จจริงในการเข้าสู่ตำแหน่งประธาน ป.ป.ช. ของท่านว่าเป็นไปโดยโปร่งใส และไม่ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงของท่าน กรณีการที่ไปพบกับ ประธานรัฐสภา ที่บ้านพัก โดยมีนาย สุรเชชษฐ์ เป็นผู้ประสานงานในเดือนธ.ค.67 ที่ผ่านมาและอยู่ในช่างที่มีการเลือกตั้งประธาน ป.ป.ช.คนใหม่ และจากนั้นนายสุชาติ ก็ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธาน ป.ป.ช.ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ลงมติและส่งเรื่องเพื่อประธานวุฒิสภาส่งเรื่องและถวายบังคมทูลฯ
นายสนธิญา กล่าวอีกว่า แต่ด้วยเพราะการที่มีข่าวและมีการพูดคุยเจรจากับบุคคลที่เคยเป็นคู่กรณีของพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ เป็นผู้ประสานให้เข้าพบประธานรัฐสภา เมื่อปลายปี 2567 ตามที่เป็นข่าวใหญ่ไปแล้วนั้น และในเนื้อหามีการพูดคุยเรื่องการถูกร้องโดยพล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ที่มีรายชื่อประชาชนกว่า 20,000 คนร่วมลงชื่อเพื่อตรวจสอบนายสุชาติ เพื่อไม่ให้ดำรงตำแหน่งประธาน ป.ป.ช. “จริงหรือไม่” ในวงพูดคุยมีการสอบถามถึงกระบวนการเลือกประธาน ป.ป.ช.คนใหม่ด้วย ดังนั้นตนจึงมีร้องเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และไต่สวน ในประเด็นที่ว่า ในรัฐธรรมนูญ ปี2560 มาตรา 219 มีการกำหนดเกี่ยวกับ จริยธรรมให้หน่วยงานต่าง และ มีข้อบังคับเกี่ยวกับจริยธรรมในองค์นั้นๆด้วยประกอบ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 2542 หน่วยงาน ป.ป.ช. ก็อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ หรือไม่ ทั้งนี้ในการไต่สวนข้อเท็จจริงตนขอให้นายสุชาติ ยุติการปฎิบัติหน้าที่ไปก่อน จนกว่าการตรวจสอบจะได้ข้อสรุปในเรื่องนี้ และขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตั้งคณะกรรมการร่วมที่มีอัยการสูงสุด (อสส.) เข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วย