วีระยุทธชี้ 2 จุดบอด ฉุดจีดีพีไทย โตต่ำสุดอาเซียน แนะรบ.ตีโจทย์ให้แตก จะดันภาคยานยนต์ไปทางไหน 

วีระยุทธ ชี้ 2 จุดบอดศก.ไทย ฉุดจีดีพีโตต่ำสุดอาเซียน แนะรบ.ตีโจทย์ให้แตก จะดันภาคยานยนต์ไปทางไหน 

จากกรณีที่ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม ในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 4/2567 และ ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 และ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568  รวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 ขยายตัว 2.5% นั้น

ล่าสุด (18 ก.พ.) นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นถึงตัวเลขดังกล่าว โดยระบุว่า สองจุดบอดจีดีพีไทย = ยานยนต์ดิ่ง + นำเข้าจีนทะลัก

จีดีพีของไทย ปี 2567 โต 2.5% รั้งท้ายอาเซียน ถ้าลงไปดูรายละเอียดจะพบจุดบอด 2 จุดสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยไม่เป็นไปตามเป้า

อย่างแรกคือ “ภาคธุรกิจไม่ค่อยลงทุน” เพราะในขณะที่ ตัวเลขอื่นขยับเป็นสีเขียว การลงทุนภาคเอกชนของเรายังหดตัว 3 ไตรมาสติดต่อกัน ทำให้ทั้งปีรวมแล้วอยู่ที่ -1.6%

ADVERTISMENT

รายงานของสภาพัฒน์เองก็บอกต่อว่า ลงทุนหดก็เพราะภาคธุรกิจซื้อเครื่องจักรเครื่องมือลดลง โดยเฉพาะหมวดยานยนต์

ดังนั้น หากจะต้องเลือก “โฟกัส” อะไรสักอย่างที่จะช่วยปิดจุดบอดแรก

คำตอบจึงอยู่ที่ภาคยานยนต์ ซึ่งมีมูลค่า 11% ของจีดีพี มีพลังขับเคลื่อนทั้งด้านบวกและด้านลบถึง 1 ใน 10 ของเศรษฐกิจไทย

ปี 66 ไทยผลิตรถ 1.83 ล้านคัน
ปี 67 ยอดผลิตลดลงเหลือแค่ 1.47 ล้านคัน หายไป 20% กลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงวิกฤตโควิด

ถดถอยระดับ Fast & Furious เร็ว..แรงทะลุนรก

เราเห็นนโยบายรัฐขยับบ้าง จากที่เน้นอุดหนุนรถอีวีอย่างเดียว กลับมาช่วยไฮบริดมากขึ้นตอนปลายปี และมาตรการช่วยค้ำประกันเช่าซื้อรถที่กำลังจะออกมา

แต่ตัวแปรสำคัญยังอยู่ที่งบประมาณและทิศทางอนาคต

งบประมาณปี 68 ของไทยที่ลงไปกับอุตสาหกรรมยานยนต์นั้นไม่น้อย มีถึง 8,600 ล้านบาท

ฟังดูสมน้ำสมเนื้อกับเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทยใช่ไหมครับ

แต่พอไปดูเนื้อในของงบ ปรากฏว่าเกิน 90% คือการใช้เงินอุดหนุนคนซื้อรถอีวี รวมแล้ว 8,000 ล้าน

เหลืองบส่วนที่จะช่วยด้านพัฒนาทักษะการผลิต-ทักษะแรงงานเพียง 500 ล้าน หรือ แค่ 7% ของงบด้านยานยนต์ที่ดูมหาศาล

เน้นเงินช่วยคนซื้อและผู้ขาย แต่งบสนับสนุนผู้ผลิตและแรงงานน้อยกว่ามาก

งบประมาณต้องสมดุล ดีมานด์-ซัพพลาย มากกว่านี้

แต่โจทย์ใหญ่สุดที่รัฐบาลต้องชัดเจนคือ ตกลงรัฐบาลจะดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยไปทางไหนกันแน่

ยังจะเป็น EV Hub ผลิตส่งออกโลกตามแผนเดิมได้จริงหรือ

จะย้ายผู้ผลิตกลุ่มไหนไปอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง ช่างและวิศวกรรุ่นใหม่ควรมีทักษะด้านไหน

งบประมาณจะได้จัดสรรให้สอดคล้องกับทิศทางที่เราจะมุ่งไป

จุดบอดอีกจุดหนึ่งคือ “การค้าระหว่างประเทศ”

เรามักได้ยินแต่ข่าวดีเรื่องการส่งออกขยายตัว ซึ่งก็จริง จากข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ปี 67 การส่งออกไทยเติบโต 7%

แต่ข่าวที่ไม่ค่อยได้ยินคือ การนำเข้าของปี 67 ขยายตัวถึง 8% สูงกว่าการส่งออกเสียอีก

ทำให้รวมๆ แล้ว ไทยขาดดุลการค้าประมาณ -350,000 ล้านบาท (ตามฐานศุลกากร)

ถึงเราจะเกินดุลกับสหรัฐฯ อินเดีย ออสเตรเลีย

ยังไงก็ถัวไม่พอกับยอดขาดดุลกับจีน ซึ่งปี 67 ทะยานขึ้นไปที่ -1.6 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ยอดนำเข้ามหาศาล ส่วนหนึ่งก็เข้าไปแทนที่การผลิตและการจ้างงานของกิจการในประเทศ

ความพยายามของรัฐบาลที่จะเพิ่มปริมาณสินค้าขายกลับไปจีน จึงแทบไม่ได้บรรเทาปัญหาภาคการผลิตไทยเลย

ต่อให้การส่งออกจะขยายตัวแค่ไหน การนำเข้าก็ทะยานตามไปหักล้างอยู่ดี

ถึงจุดนี้ น่าจะชัดเจนแล้วว่าการแจกเงินหมื่นไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจ

อัดเงิน 100 บาท ได้ผลกลับมาแค่ 10–30 บาทเท่านั้น

อาจเป็นการช่วยบรรเทากลุ่มเปราะบางชั่วคราว แต่ไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจแน่นอน

จะแก้จุดบอดที่ฉุดจีดีพีไทย ควรโฟกัสที่ “ยานยนต์” กับ “สินค้านำเข้า”

ใช้สองเรื่องนี้เป็นจุดตั้งต้น ขยับต่อไปยังการศึกษา ทักษะแรงงาน นโยบายการค้าการลงทุน

ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ว่าประเทศไทยจะอยู่ตรงไหนในซัพพลายเชนโลกที่เปลี่ยนไปและเกมภูมิรัฐศาสตร์ใหม่