ทักษิณ เอ่ยปาก ขอโทษ เหตุการณ์ตากใบ ถ้าผมมีอะไรผิดพลาด ที่ไม่เป็นที่พอใจ ขออภัย แต่ห่วงใยพี่น้อง 100% สมัยเป็น นายกฯขอให้หันกลับมาช่วยกันแก้ปัญหา
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่โรงเรียนสัมพันธ์วิทยานายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) พร้อมด้วย นายทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาประธานอาเซียน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ เดินทางมายังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา ต.จวบ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เพื่อพบปะผู้บริหารสถานศึกษาและหารือถึงการพัฒนาด้านการศึกษาในพื้นที่เพื่อวางแนวทางพัฒนาพื้นที่ชายแดนใต้ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนพร้อมทั้งรับประทานอาหารเที่ยง โดยมี ผู้บริหารโรงเรียน คณะครูอาจารย์ ตลอดจนนักเรียน และบัณฑิตอาสา ร่วมให้การต้อนรับ
โอกาสนี้คณะฯได้เยี่ยมชมนิทรรศการผลงานนักเรียนและกิจกรรมแต่ละระดับชั้นที่ให้นักเรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้พร้อมต่อยอดในการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น
จากนั้นคณะได้เข้ารับฟังข้อเสนอแนะ ปัญหาอุปสรรคจากผู้แทนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ผู้นำศาสนา ข้าราชการ เพื่อเดินหน้าแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาในพื้นที่พร้อมกันนี้ผู้แทนสถานศึกษาได้ให้ข้อเสนอแนะในด้านการพัฒนาการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มค่าตอบแทนครู บุคลากรทางศึกษา ซึ่งครูถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการพัฒนาศักยภาพเด็กนักเรียน
นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวตอนหนึ่งว่า จังหวัดนราธิวาสมีหลายอย่าง ซึ่งควรที่จะได้รับการผลักดัน เลยลงมาดู เพื่อนำข้อมูลไปหารือกับ นายอันวา อิบรอฮิม นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย และกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อเตรียมที่จะนำของดีเหล่านี้กลับมาพัฒนาและส่งเสริมอีกรอบหนึ่ง เด็กเปรียบเหมือนผ้าขาวขึ้นอยู่กับการหล่อหลอมของผู้ใหญ่อยากให้เด็กทุกคนเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาของพื้นที่ส่วนเรื่องการศึกษาคือหัวใจของการพัฒนาในปัจจุบัน การสร้างแรงจูงใจให้เด็กคือสิ่งที่เราต้องทำผมอยากเห็นสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีศักยภาพสูงในด้านทรัพยากรทางธรรมชาติ และได้รับการพัฒนาในทุกด้าน
“ผมลงมาในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อสานต่องานในสมัยที่เป็นนายก รัฐมนตรี แต่ถูกปฏิวัติเสียก่อน รู้สึก เสียดายของดีของจังหวัดนราธิวาสที่มีหลายอย่าง ทั้งแหล่งท่องเที่ยว ลองกอง ซึ่งควรที่จะได้รับการผลักดัน เลยลงมาดู เพื่อนำข้อมูลไปหารือกับ นายอันวา อิบรอฮิม นายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซีย และกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อเตรียมที่จะนำของดีเหล่านี้กลับมาพัฒนาและส่งเสริมอีกรอบหนึ่ง“ นายทักษิณ กล่าว
สำหรับโรงเรียนสัมพันธ์วิทยาเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามควบคู่สามัญ มีนักเรียนทั้ง 3 ระดับ ระดับอนุบาล ระดับประถามศึกษาและระดับมัธยมศึกษา ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งสิ้น 2,020 คน มีบุคลากรทั้งหมด 150 คน เป็นโรงเรียนที่มุ่งเน้นพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพเพื่อให้เยาวชนเป็นคนดี คนเก่ง กล้าคิด กล้าแสดงออกและเป็นการเรียนรู้ที่พร้อมปลูกฝังด้านคุณธรรมจริยธรรมเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของอิสลามและมีความเจริญก้าวหน้าทันต่อยุคเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพราะโรงเรียนเชื่อมั่นว่าการศึกษาเท่านั้นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนให้มีอนาคตที่ดี เพื่อไปพัฒนาตนเองและประเทศชาติให้มีความเจริญยิ่งขึ้นต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่าง นายทักษิณ ชินวัตร พร้อมคณะเดินมาถึงยังโรงเรียนสัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ช่วงหนึ่งได้กล่าวกับคณะครูและประชาชนที่มาต้อนรับ โดย ระบุว่า ขออภัยต่อความผิดพลาดในการสลายการชุมนุมที่หน้าสถานีตำรวจภูธรตากใบ เมื่อปี 2547
จากนั้น 13.00 น.นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ถึงความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าความร่วมมือในพื้นที่และประเทศเพื่อนบ้านเป็นหัวใจสำคัญ ในการทำให้สันติสุขกลับสู่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยในพื้นที่และบุคคลที่ไปอยู่ต่างประเทศต้องมีการพูดคุยกัน
ทั้งนี้ ตนได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีการพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง และถือว่าเป็นความร่วมมือที่ไม่เคยได้รับมาก่อน เพราะทุกคนอยากเห็นประเทศไทยและอาเซียน มีความสงบสุขเพื่อจะได้มีการลงทุนด้านการท่องเที่ยวมากขึ้น
เมื่อถามถึง การนิรโทษกรรมและส่งผู้ร้ายข้ามแดน นายทักษิณ กล่าวว่า ต้องมีการพูดคุยกันก่อน หากคุยจบแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็สามารถปรับได้หมด ว่าจะทำอย่างไรให้คนที่กระทำความผิดไปแล้วและสำนักผิดได้กลับมาอยู่ประเทศไทยอย่างเดิม ซึ่งการพูดคุยยังคงต้องมีอีกหลายขั้ยตอน
เมื่อถามถึงการฟื้นนโยบาย 66/23 นายทักษิณ กล่าวว่า เป็นแนวที่เคยใช้สมัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งได้ผลดี แต่วันนี้ต้องมีการพูดคุยหลายฝ่ายและปรับให้เป็นไปได้ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปได้
เมื่อถามว่า มีเป้าหมายในใจอยากจะทำอะไรหรือไม่ หลังไม่ได้ลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มานาน อดีตนายกฯ ระบุว่า กว่า 20 ปีก็อยากจะกลับมาเห็นว่าความรู้สึกของคนที่นี่เป็นอย่างไร ทัศนคติที่อยากจะเห็นความปรองดองที่จะเกิดขึ้นเป็นอย่างไร เท่าที่ดูก็บวกขึ้นเยอะ และจากการที่ตนประสานงานกับต่างประเทศ ก็มั่นใจว่ามันเป็นสิ่งที่หาข้อยุติได้
พร้อมย้ำว่า การมาครั้งนี้รู้สึกดีใจว่า “มันเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์”
เมื่อถามว่า ต้องรออีกนานเท่าไหร่ นายทักษิณ ตอบกลับทันทีว่า “ไม่ต้องรอครับ ผมเชื่อว่าภายในปีนี้ มันจะเห็นสัญลักษณ์ที่ดีขึ้นเยอะ และปีหน้า น่าจะจบ”
ส่วนจะใช้บทบาททั้ง 3 (ตำแหน่ง) อย่างไร นายทักษิณ กล่าวว่า ตนมีความรู้สึกเหมือนกับว่า ทำงานยังไม่จบ ก็อยากจะเห็นสันติสุขของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเอาประสบการณ์ที่เกิดขึ้นสมัยก่อนที่เคยมาทำไว้ มาแชร์กันว่าจะต้องปรับอย่างไร เพราะวันนี้ทัศนคติของประชาชนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เปลี่ยนไปเยอะ เบาลงเยอะ เข้าใจขึ้นเยอะ และจากการพูดคุยกับผู้บริหารโรงเรียนปอเนาะ โรงเรียนตาดีกา ต่างๆ ก็รู้สึกว่าเปลี่ยนไปเยอะจากเมื่อก่อน เพราะเมื่อก่อนสมัยที่ตนเป็นนายกฯ พอเดินเข้าไปในโรงเรียน เด็กมองหน้าเข้ม แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่และ เท่าที่เข้ามาก็เปลี่ยนไปเยอะ ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นสัญญาณที่ดี
เมื่อถามว่า ต้องถอนกำลังทหารออกหรือไม่ อดีตนายกฯ ขอว่าอย่าเพิ่งพูดไปไกล วันนี้อะไรที่พูดคุยกันแล้ว หากจำเป็นก็อยู่ต่อไป อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรอยู่ เนื่องจากตอนนี้เกิดความเข้าใจดีต่อกัน และก็เพื่อให้เกิดการประหยัดงบประมาณด้วย
ส่วนความคืบหน้าการพูดคุยตน ก็เชื่อว่าภายในปีนี้จะเห็นชัดขึ้น เพราะอดีตรองประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ก็อาสาเข้ามาช่วยและมาพบ ซึ่งตนก็จะให้คำแนะนำห่างๆ พร้อมปฏิเสธ ว่าตนคงไม่เข้าไปอยู่ในคณะพูดคุย เพราะผมแก่แล้ว
ส่วนกรณีเหตุระเบิดก่อนก่อนเดินทางลงพื้นที่วันนี้ นายทักษิณ กล่าวว่า เป็นเรื่องสัญลักษณ์ ซึ่งบางคนอาจจะอยากทำให้ตนตกใจ แต่เผอิญเป็นคนตกใจยาก และเคยถูกรอบฆ่ามา 4 ครั้งยังเฉยๆ ซึ่งไม่เป็นไร ใครจะต้อนรับวิธีไหน ผมรับได้หมด
เมื่อถามว่า เหตุระเบิดดังกล่าวอาจจะเกิดจากความคาใจของประชาชนในพื้นที่จากกรณีตากใบ อดีตนายกฯ กล่าวว่า ตนได้พูดกับผู้นำศาสนาวันนี้ ว่าตอนที่เป็นนายกฯ มีความตั้งใจและห่วงใยประชาชน 100 เปอร์เซ็นต์ แต่การทำงานก็มีผิดพลาดบ้าง
“หากผมมีอะไรผิดพลาด และทำให้เป็นที่ไม่พอใจ ก็ขออภัยด้วย เพื่อเราจะได้กลับมาช่วยกันแก้ไขปัญหากัน ไม่อยากให้ความคลางแคลงใจเล็กๆน้อยๆยังอยู่ เพราะพี่น้องมุสลิมถูกสอนมาว่า 1.รักสันติสุข 2.รู้จักให้อภัย ฉะนั้นเมื่อทำให้ไม่ถูกใจ ก็ขออภัยด้วย”