ปริญญา แนะ 6 ข้อรบ. เร่งเคลียร์ให้ชัด หลังส่งอุยกูร์กลับจีน ไม่งั้นจะเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้แน่
อุยกูร์ – เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อเขียนถึงสังเกตการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า การที่รัฐบาลไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับประเทศจีน จนกลายเป็นข่าวใหญ่ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ผมมีข้อสังเกต และหลายข้อก็เป็นข้อสงสัยด้วย ที่ผู้ที่เกี่ยวข้องควรทำให้คนหายสงสัย ไม่งั้นจะเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้ ดังต่อไปนี้ครับ
ข้อสังเกตแรกคือ ทำไมต้องมีการปิดบังการส่งตัวกลับ? คล้ายกับเกรงว่าจะถูกคัดค้าน หรือมีการต่อต้านจนส่งกลับไม่ได้ ตรงนี้ทำให้คนสงสัย เพราะหากว่าเขาเต็มใจกลับจริงๆ และทางการจีนรับรองความปลอดภัยไม่มีการทำอันตรายเขาจริงๆ ก็ควรส่งกลับเขากลับอย่างเปิดเผยโปร่งใส ซึ่งก็จะทำให้ไม่มีใครตำหนิประเทศไทยได้
2.ท่ามกลางความขัดแย้งที่กำลังหนักหน่วงมากขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน ประเทศไทยควรเอาใจทั้งสองประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในเรื่องการค้ากับทั้งสองฝ่าย ทำไมในเรื่องนี้เราจึงเลือกเอาใจแต่ประเทศจีน แล้วถูกสหรัฐอเมริกาประณาม?
3.ประเทศไทยได้รับเลือกเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ โดยดำรงตำแหน่งตามวาระปี 2568-2570 นั่นแปลว่า หลังจากรัฐประหาร 2557 เราได้รับความยอมรับในเรื่องสิทธิมนุษยชนในระดับสากลกลับมาแล้ว ทำไมจึงไปทำเรื่องที่จะสุ่มเสี่ยงต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเรื่องสิทธิมนุษยชนอีก?
4.ที่สำคัญคือ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการอุ้มหายทรมาน มาตรา 13 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลนั้น จะไปตกอยู่ในอันตราย …“ การจะส่งบุคคลที่ขอลี้ภัยกลับไป ต้องมีหลักประกันมั่นใจว่า จะไม่ทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย หาไม่แล้วจะเท่ากับว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทำผิดตามมาตรานี้ รวมถึงอาจผิดกฎหมายระหว่างประเทศอื่นๆ อีกด้วย
5.ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 6) รวมถึงในฐานะประธาน สมช. (ตาม พ.ร.บ.สภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ.2559) จะปฏิเสธความรับผิดชอบ หรือปัดเรื่องให้พ้นตัวได้อย่างไร?
6.ข้อสงสัยที่สุดของผมคือ ทั้งๆ ที่กำลังจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี โดยฝ่ายค้านยื่นญัติอภิปรายนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ซึ่งเรื่องที่จะถูกอภิปรายก็มีมากพออยู่แล้ว ทำไมจึงไปสร้างเรื่องใหม่ที่จะเป็นจุดอ่อนให้นายกฯ เพิ่มเข้าไปอีก? เรื่องนี้ดูแปลกมาก เพราะอยู่ดีๆ ก็ไปเพิ่มแต้มบุกให้ฝ่ายค้าน ราวกับโดนของหรือถูกใครวางยา