อาจารย์ชี้ ฝ่ายค้านพาดพิงทักษิณ ต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ปธ.สั่งแก้ญัตติ ยกข้อบังคับ-รธน.ยัน

อาจารย์ชี้ฝ่ายค้านพาดพิงทักษิณ ต้องรับผิดชอบเอง ยกข้อบังคับ-รธน.ยัน ไม่ใช่อำนาจปธ.สั่งแก้ญัตติ แนะควรปล่อยให้พูด ป้องครหาไม่เป็นธรรม เอื้อฝ่ายรบ.

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว วิเคราะห์และวินิจฉัยความเหมาะสมของการกระทำของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เกี่ยวกับการไม่บรรจุญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หากฝ่ายค้านไม่ตัดชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากญัตติ ว่า

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้เหตุผลว่า การไม่บรรจุญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นเพราะขัดต่อข้อบังคับของสภา โดยอ้างว่า ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 ห้ามเอ่ยถึงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็น และหากยังคงมีชื่อดังกล่าวอยู่ในญัตติ อาจทำให้มีปัญหาทางกฎหมายตามมา ซึ่งอาจนำไปสู่การฟ้องร้องทั้งต่อตัวประธานสภาและผู้เสนอญัตติ

อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งสำคัญจากฝ่ายค้าน โดยเฉพาะ นายรังสิมันต์ โรม และ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ซึ่งให้เหตุผลหลักๆ ว่าการกระทำของนายวันนอร์ อาจเกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ของประธานสภา และอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้รัฐบาล ซึ่งอาจสกัดกั้นฝ่ายค้านจากการตรวจสอบรัฐบาลได้อย่างเต็มที่

ADVERTISMENT

ประเด็นสำคัญในการวิเคราะห์

1. ข้อกฎหมายและอำนาจของประธานสภา

ADVERTISMENT

ข้อบังคับการประชุมสภาข้อ 176 ระบุให้ประธานสภาตรวจสอบว่าญัตติมีข้อบกพร่องหรือไม่ หากพบว่ามี ต้องแจ้งให้ผู้เสนอทราบภายใน 7 วัน

ข้อบังคับการประชุมสภาข้อ 69 กำหนดว่าห้ามกล่าวถึงบุคคลภายนอก “โดยไม่จำเป็น” แต่ไม่ได้ห้ามกล่าวถึงโดยสิ้นเชิง

รัฐธรรมนูญมาตรา 151 ให้สิทธิ ส.ส. ในการเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับการพิจารณาของประธานสภา

=> วิเคราะห์แล้วพบว่า การกล่าวถึงบุคคลภายนอกในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ใช่เรื่องที่ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และที่ผ่านมาก็เคยมีการเอ่ยชื่อบุคคลภายนอกมาก่อน ซึ่งหมายความว่าการตัดสินใจของนายวันนอร์ อาจไม่มีฐานกฎหมายที่หนักแน่นเพียงพอ

2. ข้อโต้แย้งเรื่องความเหมาะสม

ฝ่ายค้านเห็นว่า ทักษิณ ชินวัตร มีบทบาทต่อรัฐบาลปัจจุบันอย่างชัดเจน และเป็นที่สงสัยว่ามีอิทธิพลต่อการบริหารประเทศ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ชอบธรรมที่จะเอ่ยถึงในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ฝ่ายค้านยังชี้ว่า การที่นายวันนอร์สั่งให้แก้ไขญัตติอาจเป็นการใช้ดุลพินิจที่เกินอำนาจหน้าที่ เพราะประธานสภาไม่มีอำนาจตัดสินว่าเนื้อหาของญัตติควรเป็นอย่างไร เพียงแต่สามารถตรวจสอบข้อผิดพลาดในรูปแบบของญัตติเท่านั้น

=> วิเคราะห์แล้วพบว่า หากมองในแง่ของความเป็นกลาง ประธานสภาควรปล่อยให้การอภิปรายเป็นไปตามกระบวนการ และหากมีปัญหาเรื่องการพาดพิงบุคคลภายนอก ก็ควรให้เป็นหน้าที่ของผู้ถูกพาดพิงในการดำเนินการทางกฎหมายเอง มากกว่าการให้ประธานสภาเป็นผู้ตัดสินแต่แรก

3. การดำเนินการที่ล่าช้าและขัดแย้งกับข้อบังคับ

นายพริษฐ์ระบุว่า นายวันนอร์แจ้งให้ฝ่ายค้านแก้ไขญัตติ ล่าช้ากว่ากำหนด 7 วัน ซึ่งผิดข้อบังคับข้อ 176

หากเป็นเช่นนั้นจริง การดำเนินการของนายวันนอร์เองก็อาจไม่ชอบด้วยข้อบังคับเสียเอง

=> วิเคราะห์แล้วพบว่า หากนายวันนอร์แจ้งล่าช้ากว่ากำหนดจริง การพยายามแก้ไขญัตติในภายหลังอาจถือเป็นการใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรม

ข้อสรุป

จากการวิเคราะห์ ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง พบว่า : การกล่าวถึงบุคคลภายนอกไม่ได้ถูกห้ามโดยเด็ดขาด ตามข้อบังคับ และมีการกล่าวถึงในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมาแล้วหลายครั้ง

ประธานสภาไม่มีอำนาจตัดสินเนื้อหาของญัตติ มีเพียงอำนาจตรวจสอบข้อผิดพลาดในรูปแบบเท่านั้น

การแจ้งแก้ไขญัตติอาจล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งอาจถือเป็นการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม

การตัดสินใจของนายวันนอร์อาจถูกมองว่าเอื้อให้รัฐบาล เนื่องจากมีผลโดยตรงต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

วินิจฉัยความเหมาะสม

การกระทำของนายวันนอร์จึงอาจไม่เหมาะสม เนื่องจากขัดต่อหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจในระบอบประชาธิปไตย และอาจถูกมองว่าเป็นการใช้ดุลพินิจเกินขอบเขต อันส่งผลให้ฝ่ายค้านไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image