เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ ออกมาวิพากษ์นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่าที่ออกมาเคลื่อนไหวเพราะคดีของคนในครอบครัวท่านกำลังเดินหน้าเข้มข้นมากขึ้นและเรื่องรัฐธรรมนูญก็มีการประกาศคัดค้านไม่รับร่างรัฐธรรมนูญโดยกลุ่มคนที่สนับสนุนนายทักษิณ จึงเป็นเหตุให้นายทักษิณต้องออกมาตอนนี้ และความสามารถพิเศษของนายอภิสิทธิ์ก็สามารถโยงเรื่องเท้าความไปถึงขนาดที่ว่านายทักษิณมีการจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์และบริษัทล็อบบี้ยิสต์เพื่อให้เข้าถึงสื่อต่างประเทศให้ช่วยทำข่าว ก็ต้องบอกว่าคนที่ไม่ได้มีอุดมการณ์ทางประชาธิปไตยอยู่ในหัวจิตหัวใจก็จะไม่เข้าใจ ยิ่งเคยได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกฯ จากในค่ายทหารมาก่อนก็ยิ่งจะไม่เข้าใจถึงความรู้สึกของการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย และยิ่งเคยเป็นกลุ่มคนที่ก่อกวนร่วมเดินขบวนเป่านกหวีดปิดกรุงเทพฯ จนบ้านเมืองวุ่นวาย เศรษฐกิจเสียหาย จนเป็นมูลเหตุให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ต้องออกมาปฏิวัติรัฐประหารก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะจะไม่มีอะไรหลงเหลือให้บุคคลกลุ่มนั้นยึดมั่นและเคารพในหลักการแห่งประชาธิปไตย
นายสุรพงษ์กล่าวว่า แตกต่างจากนายทักษิณอย่างสิ้นเชิง เพราะนายทักษิณถูกทหารปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจไปเช่นเดียวกันกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยมีขบวนการออกมากล่าวหา ใส่ร้าย ป้ายสี และชุมนุมประท้วง ก่อหวอดสร้างความวุ่นวาย กล่าวหาว่ารัฐบาลทุจริตคดโกง ล้มการเลือกตั้งโดยบอยคอตการเลือกตั้ง นานาประเทศและสื่อต่างชาติเขาก็มองออกว่ามันเกิดอะไรขึ้นในบ้านนี้เมืองนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นที่ท่านทักษิณจะต้องไปจ้างบริษัทมาทำประชาสัมพันธ์หรือมาล็อบบี้สื่ออย่างที่นายอภิสิทธิ์พยายามกล่าวหา เพราะสื่อชั้นนำระดับโลกของทุกประเทศต่างพร้อมและอยากที่จะนำเสนอข่าวของนายทักษิณอยู่ทุกลมหายใจเข้า-ออกอยู่แล้ว และก็อยากขอร้องว่า นายอภิสิทธิ์ควรจะหยุดวิพากษ์วิจารณ์เรื่องประชาธิปไตยได้แล้ว ควรที่จะเอากระจกมายืนชะโงกส่องดูเงาตัวเองได้แล้ว และต้องขอบอกเอาบุญให้ว่า นายทักษิณก้าวข้ามเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวไปนานแล้ว และเป็นคนที่รู้จักการให้อภัยคน มีจิตใจที่สูงส่งกว่าพวกที่เห็นแก่ตัวที่ชอบพูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่นอยู่ตลอดเวลา ประเทศชาติเราจึงได้ก้าวไปไม่ถึงไหนกันเสียที นายทักษิณจึงได้ออกมาเตือนสติกัน ก่อนที่จะสายเกินแก้ อยากให้ทุกฝ่ายหัดเปิดใจให้กว้างด้วยและหัดมองคนในแง่ดีเอาไว้บ้าง