‘ปีศาจต่างหากคือศัตรู’ ถอดนัยยะศึกซักฟอก เพื่อไทย เป็น ‘คู่แข่ง’ ในสายตา (พรรค) ประชาชน

‘ปีศาจต่างหากคือศัตรู’ ถอดนัยยะศึกซักฟอก เพื่อไทย เป็น ‘คู่แข่ง’ ในสายตา (พรรค) ประชาชน

อภิปรายไม่ไว้วางใจ68 – จบศึกซักฟอก แน่นอน นายกฯแพทองธาร ชินวัตร สอบผ่านฉลุย 319 เสียง อภิปรายไม่ไว้วางไว้วางใจ พร้อมๆกับได้เรกคอร์ด ทำนิวไฮ สถิตินายกฯที่ได้เสียงไว้วางใจมากที่สุดอีกด้วย

แต่สำหรับเนื้อหาตลอด 2 วัน ของการอภิปราย ทั้งจากขุนพลซีกฝ่ายค้าน และการลุกชี้แจงของ นายกฯแพทองธาร ที่ถือว่า เผชิญหน้ากับฝ่ายค้านอย่างเป็นทางการครั้งแรก เป็นอย่างไรบ้าง ?

“มติชนออนไลน์” ชวน ดร.วีระ หวังสัจจะโชค อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร มาร่วมสะท้อนมุมมอง

• ตัดเกรดฝ่ายค้าน-นายกฯ 

ADVERTISMENT

ดร.วีระชี้ว่า ภาพรวมหลังจบการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตลอด 2 วัน จะเห็นได้ว่า ปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ นายกฯแพรทองธาร จะเข้ามาดำรงตำแหน่งหลายปัญหายังดำเนินการยังไม่เสร็จสิ้น

ไม่ว่าจะเป็น เรื่องปลาหมอคางดำ ปัญหาเรื่องค่าไฟ รวมถึงปัญหาการทำให้สัมปทานกาสิโน หรือการพนันถูกกฎหมายต่างๆ

แต่ถ้าพิจารณาแต่ละฝั่งว่า จะได้คะแนนประมาณไหนนั้น เริ่มต้นที่ฝ่ายค้านก่อน แม้เราจะได้เห็นผู้อภิปรายหลายคนมีสีสัน ไม่ว่าจะเป็น ลิซ่า ภคมน หนุนอนันต์  รังสิมันต์ โรม หรือแม้แต่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ก็ยังรักษาการอภิปรายไว้ได้

แต่ปัญหาจริงๆของฝ่ายค้านคือไม่มีข้อมูลใหม่ การอภิปราย จึงเป็นการรวบรวมข้อมูลข่าวสาร มาเล่าใหม่ด้วยลีลาที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นเท่านั้น หลายๆประเด็นที่ยังไม่จบ ในครั้งนี้ก็เหมือนเป็นการอัพเดทข้อมูลข่าวสารทางการเมือง

ดังนั้น ถ้าจะวัดคะแนนจริงๆฝ่ายค้าน อยู่ที่ระดับ C- C+ เท่านั้น เป็นระดับกลางๆ

ขณะที่ ฝ่ายรัฐบาล ก็อยู่ในลำดับเดียวกันกับฝ่ายค้านคือกลางๆ ระดับ C ถึง C+ เหมือนกัน

“ก็อย่างที่ว่าไปว่า เนื่องจากข้อมูลของฝ่ายค้านยังไม่มีข้อมูลใหม่เสียทีเดียว ทำให้รัฐบาลที่ไม่ใช่แค่ทีมพรรคเพื่อไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหน่วยงานราชการทั้งหมด ที่เกณฑ์กันมาอยู่ในรัฐสภา ทำงานเบื้องหลังให้ รัฐบาลสำหรับข้อมูลในการชี้แจงก็รับมือได้ง่าย”

นอกจากนี้ ยังพบว่า การชี้แจงก็ไม่น่าประทับใจเสียทีเดียว เพราะรัฐบาลไม่ตอบข้อกล่าวหาโดยตรง

“แทนที่จะชี้แจง เรื่องที่เป็นข้อกล่าวหาจากพรรคฝ่ายค้าน อย่างเช่นเกิดอะไรขึ้นในชั้น 14 หรือ ใครจะรับผิดชอบกับปลาหมอคางดำ หรือค่าไฟแพงเพราะว่า ต้องเสียค่า พร้อมจ่ายให้กับโรงไฟฟ้าที่สร้างขึ้นมา แต่ไม่ได้เปิดผลิตไฟ เป็นต้น”

กล่าวคือ รัฐบาลเลือกที่เลี่ยงไปตอบว่า รัฐบาลทำอะไรไปแล้วบ้าง หรือมีนโยบายอะไร ทำให้การตอบโต้ของรัฐบาลเป็นลักษณะการรายงานนโยบายว่า ช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ในการประชุมครม. นายกฯแพทองธาร มีมติอะไร ได้จัดสรรงบประมาณในเรื่องไหนไปบ้างแล้ว

เป็นการตอบที่ไม่ตรงคำถาม และเป็นการตอบในลักษณะที่ว่าปลอดภัยไว้ก่อน พูดเฉพาะนโยบายที่ตัวทำเท่านั้น แต่ไม่พูดถึงข้อกล่าวหา

• มองต้นเหตุทำอภิปรายจืด 

เหตุนี้ สำหรับ ดร.วีระ จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ที่เรามีนายกฯที่เป็นนายกรุ่นใหม่ ที่มีคาแรคเตอร์

ที่สำคัญยังเป็นผู้นำที่สามารถตอบโต้ทางการเมืองได้อย่างตรงไปตรงมามากกว่านี้ แต่กลายเป็นว่านายกฯ ถูก “ทีมนักรบในห้องแอร์” หรือ “ทีมข้อมูลของพรรคเพื่อไทย” ตีกรอบให้พูดเฉพาะในสคริปต์ที่ตั้งขึ้นมา

“เราสังเกตได้จากนายกฯแพรทองธาร ไม่ว่าจะตอบในเรื่องของเนื้อหา หรือตอบโดยโต้ของฝ่ายค้าน ดูสคริปต์ที่มาจาก iPad ตลอด จึงเป็นเรื่องที่ผมคิดว่า เรื่องนี้น่าเสียดาย เพราะเราไม่เห็นตัวจริงที่แท้จริงของท่านนายกฯ แต่ถ้ามองในมุมพรรคเพื่อไทยก็คงคิดว่า เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด ไม่ให้ท่านนายกฯพูดในสิ่งที่ สุดท้ายกระทบต่อการเมือง หรืออาจจะมีอารมณ์ร่วม จนเกิดปัญหา”

โดยเฉพาะ ปัญหาทางกฎหมาย ที่จะเจอเหล่า “นักร้อง” หยิบเอาเนื้อหาไปใช้ ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ

“อย่างที่บอกการเมืองไทยเราไม่ได้สู้กันในสภาเสียทีเดียว นายกฯก็ต้องระมัดระวังตัว ทำให้การปะทะกันระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล มันไม่ดุเดือดและไม่ตรงไปตรงมา เลยกลายเป็นว่า ไม่ใช่การอภิปรายที่เอาเป็นเอาตาย แต่เป็นลักษณะของแค่เพื่อนกัน ขัดใจกัน ต้องมาสะกิดกัน ให้รู้ว่าใครคือศัตรูตัวจริงเท่านั้น”

สิ่งเหล่านี้ ในทัศนะของ ดร.วีระ ยังต้นเหตุสำคัญ ทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ดูไม่เร้าใจ หรือดูจืดไป อย่างที่นักวิเคราะห์หลายสำนักมองเห็นตรงกัน

ดร.วีระ ยังมองด้วยว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ดูเหมือนจะเกื้อหนุนกันในระดับหนึ่งไม่เหมือนการอภิปราย ที่ต้องการจะเล่นงานฝ่ายตรงข้ามให้หลุดออกจากรัฐบาล

เพราะในหลายเรื่องที่อภิปรายพบว่า ไม่สามารถนำไปตรวจสอบต่อใน ป.ป.ช.ได้ แต่อาจจะมีบางประเด็นที่จะไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้วินิจฉัยคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯได้

อย่างกรณีที่นายกฯแต่งตั้งรัฐมนตรีที่เคยถูกกล่าวหาว่า มีการกระทำทุจริตประพฤติมิชอบ ถูกกล่าวหาว่าค้ามนุษย์

“แบบนี้อาจทำให้นายกฯเผชิญกับการวินิจฉัยของรัฐธรรมนูญให้หลุดออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ได้ แต่เชื่อว่าฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชน ก็ไม่ได้จะไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญแบบนั้นอยู่แล้ว” ดร.วีระระบุ

• นัยยะดีลปีศาจ พท.ไม่ใช่ศัตรู

ฉะนั้น นัยยะของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตลอด 2 วันของพรรคประชาชน สำหรับ อ.วีระ คือการสะท้อนความเป็นคู่แข่งทางการเมืองระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลมากกว่าการเป็นศัตรูทางการเมืองระหว่างกัน

“เห็นได้ชัดจาก การอภิปรายที่มีการเห็นปัญหาร่วมกัน เช่น ฝ่ายค้านได้มีการอภิปราย ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ ไอโอของกองทัพ ซึ่งไม่ได้เล่นงานแค่ฝ่ายพรรคประชาชนอย่างเดียว แต่เล่นงานถึงฝ่ายพรรคเพื่อไทย และตัวนายกฯแพรทองธารเองด้วย

“ขณะเดียวกันฟังรัฐบาลชี้แจงเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ก็ชี้ชัดเจนว่า ไม่ใช่เพียงพรรคสีส้มนะ ที่ถูกยุบพรรคจากศาลรัฐธรรมนูญ พรรคสีแดง นายกฯก็ถูกสอย ถูกให้เปลี่ยน โดยเกิดจากรัฐธรรมนูญปี 2560 เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นทั้งสีส้มและสีแดงต่างเป็นเหยื่อของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ทั้งสิ้น”

จากการอภิปรายที่เกิดขึ้น 2 วัน สะท้อนให้เห็นว่า ทั้งสีส้มและสีแดง อาจจะไม่ใช่ศัตรูทางการเมืองที่แท้จริง

และหากกลับไป ดูที่หัวข้อ “ดีลแลกประเทศ” หรือที่ฝ่ายค้านเรียก “ดีลกับปีศาจ” นั้น ตรงนี้ต่างหาก ฝ่ายค้านพยายามชี้ว่า ปีศาจของประชาธิปไตยคือใครกันแน่ ที่เป็นศัตรูที่แท้จริง

โดยที่ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ก็ต่างเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ที่ถูกเล่นงานและได้รับผลพวงจากรัฐประหารและรัฐธรรมนูญฉบับนี้ฉบับคู่

“นี่คือภาพการอภิปรายในภาพรวม ที่พยายามทำให้ประชาชนเห็นภาพกว้างว่า ศัตรูที่แท้จริงอาจจะไม่ใช่ 2 พรรคนี้ แต่ศัตรูกับประชาธิปไตยไทยต่างหาก คือศัตรูตัวจริง อาจจะซ่อนตัวอยู่เป็นศัตรู แม้แต่การเลือกตั้งก็เปลี่ยนไม่ได้ เพราะซ่อนตัวอยู่ในอำนาจทางการเมืองตลอด”

ทั้งหมดคือ “ความหมาย” ในมุมมองของ ดร.วีระ ที่คิดว่า ฝ่ายค้านพยายามชี้ให้ประชาชน และผู้ติดตามการเมืองไปหาต่อว่า จะทำอย่างไรให้ปีศาจตัวนี้ออกไปจากการเมืองไทย และทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบได้เสียที

• ชี้ 3 จุดร่วมอุปสรรค ส้ม-แดง

แม้ข้างต้น อ.วีระ จะมองว่า การอภิปรายของฝ่ายค้านไม่มีข้อมูลใหม่ แต่ก็ยังมองบวก เห็นข้อดีอยู่มาก

โดยเฉพาะ การที่ประชาชนได้สิ่งที่น่าสนใจที่สุด คือรับรู้ว่า ศัตรูตัวจริงของระบอบประชาธิปไตย อาจจะไม่ใช่ สีส้มและสีแดง แต่เป็น “ปีศาจ” ที่อยู่ในดีลแลกประเทศนั่นเอง

แม้ว่า เพื่อไทยจะไปดีลกับปีศาจบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ปีศาจจะเป็นพวกเดียวกับพรรคเพื่อไทย

จุดนี้ทำให้ประชาชนตั้งคำถาม และมาร่วมกันค้นหาว่า ใครคือปีศาจที่แท้จริง

แน่นอนว่า อาจจะไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง อาจจะเป็นทั้งองค์กร เป็นทั้งกลุ่มคน หรือ เป็นทั้งกลุ่มอำนาจ ที่ไม่ยอมให้ประเทศไทยเราเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ

ข้อดีที่สำคัญไปกว่านั้น สำหรับ อ.วีระ ยังเชื่อว่า จากนี้หากมีการนำเอาประเด็น จากการอภิปรายไปต่อยอด เราจะเห็นจุดร่วม หรือปัญหาบางอย่าง 3 เรื่องหลักๆ ที่ทั้งส้มและแดงต้องเผชิญ

เรื่องแรก การอภิปรายปัญหาแรกคือรัฐธรรมนูญ ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านเห็นร่วมกันในการอภิปรายครั้งนี้

แม้จะเห็นคนและแง่มุม แต่ทั้งคู่เห็นว่ารัฐธรรมนูญ 2560 มีปัญหา เพราะฉะนั้นต้องแก้ไข จะแก้เรียงรายมาตราหรือ ต้องแก้ไข ทั้งฉบับ

เรื่องที่สอง กลุ่มทุนผูกขาด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทุนพลังงาน กลุ่มทุนที่อยู่ข้างหลังปลาหมอคางดำ หรือกลุ่มทุนที่ทำงานร่วมกับรัฐ กลุ่มทุนเหล่านี้ไม่ได้เกาะกินเฉพาะรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง แต่เขาสามารถอยู่ได้กับทุกรัฐบาล

เพราะฉะนั้น จากการอภิปรายในครั้งนี้ อย่างน้อยที่สุด เราอาจจะไม่สามารถล้มกลุ่มทุนได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลพอจะต่อรองได้ ทำให้ระบบเศรษฐกิจเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ลดการผูกขาดให้น้อยลง

และประเด็นสุดท้าย เราค้นพบว่า มีบางหน่วยงานแน่ๆ ที่ใช้ภาษีของประชาชน มาขัดขวางประชาธิปไตย

ชัดเจนที่สุด หนีไม่พ้นคือ “ระบบราชการและกองทัพ” ซึ่งทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เห็นร่วมกัน

แม้ว่า ฝ่ายค้านจะเป็นฝ่ายกล่าวหา แต่ฝ่ายรัฐบาลก็แสดงออกถึงความน่ากลัวของกองทัพเช่นเดียวกัน ด้วยการพยายามพูดถึงกองทัพให้น้อยที่สุด

ตรงนี้อาจต้องตั้งคำถาม ถึงบทบาทของกองทัพว่า อย่างน้อยที่สุดรัฐบาลต้องออกมาชี้แจงว่า ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ว่าเกิดจริงๆหรือไม่ หรือการปฏิรูปกองทัพจะกลับมาเกิดขึ้นอีกสักครั้งหรือเปล่า เออรี่รีไทม์นายพล มีคนเข้าร่วมเพียง 4 คน แบบนี้แล้วจะลดจำนวนนายพลได้อย่างไร ถ้าสามารถตอบได้ ก็จะเป็นประโยชน์

และจะเป็นประโยชน์กับประชาชน ซึ่งเป็นผลที่ได้รับจากกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลตามระบอบด้วย

วีระ หวังสัจจะโชค