เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 28 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมร่วมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)กรณีความเห็นแตกต่างในการสรรหาอธิการบดี ว่าการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานของสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งเดิมในอดีตอธิการบดีตามมหาวิทยาลัยต่างๆ สามารถเลือกใครก็ได้มาทำหน้าที่ ไม่จำเป็นจำเป็นต้องเป็นข้าราชการที่ยังไม่เกษียณอายุ แต่ว่ากฎระเบียบดังกล่าวไปขัดระเบียบข้าราชการครู ซึ่งอธิการบดีต้องเป็นข้าราชการ ดังนั้นทางคสช.จึงมีคำสั่งออกมาว่าบุคคลที่จะเป็นอธิการบดีจะเป็นข้าราชการก็ได้ หรือไม่เป็นข้าราชการก็ได้ เพื่อทำให้มหาวิทยาลัยทั้งหลายที่ ที่มีปัญหาคาราคาซังสามารถเลือกบุคคลมีคุณสมบัติมาเป็นอธิการบดีได้
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า ประการถัดมาการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการนั้น โดยพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมีการออกคำสั่งมาตรา44 ที่จะแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยคำสั่งฉบับนั้นให้ตั้งศึกษาธิการภาค จำนวน 18 ภาค แต่ละภาคมีความสอดคล้องกับกลุ่มจังหวัดของกระทรวงมหาดไทย พร้อมกำหนดให้ผู้ตรวจราชการ หรือข้าราชการระดับ 10 ขึ้นไปของกระทรวงศึกษาธิการไปทำหน้าที่ศึกษาธิการภาคไปพรางก่อน ขณะเดียวกันก็มีศึกษาธิการจังหวัดอยู่ อีกทั้งจะมีเขตย่อยๆอีก ซึ่งคำสั่งดังกล่าวกำหนดให้ผู้อำนวยการเขตหนึ่งหน้าที่เป็นศึกษาธิการจังหวัดไปพรางก่อน โดยมีหน้าที่ขับเคลื่อนงานศึกษา งานวิจัยในภูมิภาค
“ตอนนี้มีการขอคำสั่ง ม.44 ฉบับใหม่ รายละเอียดต่างๆเหมือนเดิม เว้นแต่ศึกษาธิการภาค ที่เคยกำหนดเป็นผู้ตรวจราชการ หรือข้าราชการระดับ 10 ขึ้นไป ต่อไปนี้ให้สรรหาจากกระทรวง ซึ่งจะมีการสรรหากันต่อไป ส่วนศึกษาธิการจังหวัดที่เป็นอำนวยการเขตหนึ่งก็จะมีการสรรหาเช่นเดียวกัน โดยทางกระทรวงจะเป็นผู้กำหนดและสรรหา ซึ่งคำสั่ง มาตรา44 ฉบับใหม่นี้ จะทำให้มีความชัดเจนมากขึ้นในตัวบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นศึกษาธิการภาคและศึกษาธิการจังหวัด” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
