เรียงคนมาเป็นข่าว:ชโลทร/วันที่ 1 เมษายน 2568
●…ส่งแรงใจให้ “อาสาสมัคร” ทุกสายที่เสียสละทุ่มเทช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว “ตื้นตัน” ในใจ น้ำใจผู้คนส่วนใหญ่ที่ต่างช่วยกันและกันในยามทุกข์ยามยากเท่าที่จะช่วยได้ สำหรับใครที่เหนื่อยหน่ายกับ “คนบางอาชีพ” ที่ฉวยโอกาสแสวงประโยชน์เพิ่มโดยซ้ำเติมผู้ต้องเผชิญสถานการณ์เลวร้าย ขออย่าเก็บการต้องรับรู้ความเลวร้ายไว้ในใจ ให้แค่เป็น “บทเรียน” ที่จะช่วยกันหาทางช่วยเหลือเยียวยา
●…มองผ่านวิกฤตสถานการณ์ เห็นต้นแบบการบริหารจัดการที่เป็นความหวัง “ผู้บริหาร กทม.” ที่ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” นำทีม “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” ให้เห็นความเป็นระบบ ตั้งแต่ “เริ่มต้นด้วยสติ จนถึงวางแผนด้วยปัญญา ปฏิบัติการด้วยสมาธิ ตื่นรู้เพื่อรับมือกับความเป็นจริง ไม่ถูกความตื่นตระหนก และความปรารถนาให้ใครเห็นเป็นคนสำคัญครอบงำ ปลุกเร้าจิตอาสาของผู้คน ผนึกร่วมเป็นพลังความร่วมมือ” เป็นอีกครั้งที่ควรร่วมกันบันทึกไว้เป็นแบบอย่างการทำงานด้วย “ประสิทธิภาพ” ที่สร้าง “ประสิทธิผล” ชัดเจน
●…อีกความเป็นจริงที่โผล่มาฟ้องให้ “ผู้บริหารประเทศ” ต้องตื่นตัวเพื่อรับมือ “การสร้างตึก” ด้วย “มาตรฐานวิศวกรไทย” กับ “ไชน่าสแตนดาร์ด” ชัดเจนแล้วว่าต่างกันลิบลับ การพัฒนาที่ “ทุนจีน” เข้ายึดหัวหาดในทุกมิติ โดยเฉพาะใน “แหล่งอุตสาหกรรมใหม่” ที่ได้รับการส่งเสริม ซึ่งกำลังเป็นกระแสว่า “โรงงานจีนสำเร็จรูป” เข้ามาปลูกสร้างอยู่เต็มไปหมด ไม่เพียงโครงสร้างอาคารที่น่าห่วง แต่ควรตระหนักถึงความน่าสยดสยองคือ “สำนึกในการจัดการ” ว่า “ให้คุณค่ากับความเป็นชีวิตของผู้คนที่แวดล้อม” แค่ไหน ความเคยชินกับ “การอยู่แบบไทยๆ” ที่ “เกรงอกเกรงใจ” เป็นสำนึกนำ ไม่ “กล้าที่จะดูแลสิทธิที่เท่าเทียมของตัวเอง” ยิ่งเป็น “สังคมที่ต้องการผู้นำทำหน้าที่ปกป้อง” ทว่าที่ “หน้าสลอน” กันอยู่มองเห็น “หน้าไหนเป็นความหวังที่พึ่งพาได้บ้าง”
●…ย้อนกลับไปมองควันหลงจาก “อภิปรายไม่ไว้วางใจ” ที่สารพัด “อาฟเตอร์ช็อก” แสดงให้เห็นตามมาผ่าน “สื่อออนไลน์” หาก “ทักษิณ ชินวัตร” ต้องการสร้าง “แพทองธาร” ให้เป็น “ผู้นำที่แกร่งและทรงประสิทธิภาพ” ให้ย้อนไปดูคำอภิปรายของ “ภคมน หนุนอนันต์” อย่างใส่ใจละเอียด เพราะที่ “ลิซ่า” ทำการบ้านมานั้นสมบูรณ์มาก สำหรับการ “ฝึกเป็นผู้นำประเทศ” ตั้งแต่ “สำนึกที่ถูกต้องจนถึงรูปแบบที่ดีงามของการแสดงออก” เรียนรู้และนำมาปฏิบัติได้ เท่ากับ
“ฟื้นความหวังให้เกิดขึ้นกับประชาชน”
●…สำหรับ “319 เสียง” สนับสนุนจาก “ประชาธิปไตยปุ่มกด” ซึ่งเสริมด้วย “การหวังประโยชน์ของคนบางจำพวก” หรือคำของ “หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล” ที่ชักแถวกันโปรยหวาน ไม่ว่า “อนุทิน ชาญวีรกูล-พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค-วราวุธ ศิลปอาชา” และใครต่อใครทั้งหลาย ช่วยได้แค่ทำให้ “ใจฟู” ว่า “ได้รับการยอมรับ” แต่ไม่ได้ช่วยอะไรในการ “สร้างศรัทธาที่แท้จริงในใจประชาชน” ซึ่งเชื่อว่า “ทักษิณ ชินวัตร” เก๋าพอที่จะ “มองเห็นความเป็นจริงนี้”
●…สำหรับ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” ในบทบาทที่ “ด้อมทั้งหลาย” ตั้งความหวังไว้ ชั่วโมงนี้ยังไปไม่ถึงที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หรือ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ทำไว้ ตั้งแต่การ “เปิดอภิปราย” ที่ “ให้ภาพไม่ชัด” ว่าอะไรคือ “ดีล” และ “แลกประเทศ” อย่างไร เช่นเดียวกับ “ปิดอภิปราย” ที่หวัง “ปิดประตูตีแมว” ให้ “นายกฯแพทองธาร” เดินตกหลุมด้วย “คำตอบที่สคริปต์เป็นตัวฆ่ามากกว่าจะช่วย” จนที่ ควรจะจบด้วย “หมัดน็อก” กลับล่องลอยด้วยค้างเติ่งกับ “เกมที่ล้มเหลว” ยิ่งถูกดึงเข้าไปร่วม “เฟรมฉลองความสำเร็จของแพทองธาร” แบบง่ายๆ ด้วยเหตุผลที่ “ฟังแล้วต้องส่ายหน้า” ดูเหมือนว่า “หัวหน้าพรรคประชาชน” น่าจะต้อง ทุ่มเทพัฒนา “วิทยายุทธ” อีกเยอะ
●…หลังอารมณ์ผู้คนคลายลงจากความตื่นตระหนก “แผ่นดินไหวที่ไม่เคยเป็นเคยเห็นด้วยประสบการณ์จริง” ความสนใจจะถูกนำสู่โหมด “ปรับ ครม.” การวิพากษ์วิจารณ์ และขุดคุ้ยว่า “ใครหลุดเก้าอี้เพราะอะไร” และ “คนที่เข้ามาเป็นใคร เพื่อภารกิจอะไร” ทั้งที่เอาเข้าจริงก็ไม่มีอะไรแตกต่าง “รัฐบาลในโครงสร้างที่ไม่เอื้อให้แก้ปัญหาที่แท้จริงของประเทศได้” ปรับ ครม.ก็แค่ “รีสตาร์ต” ให้เกิดความรู้สึกว่า “เริ่มใหม่” ซึ่งหวังว่าจะดีกว่าเก่าได้แค่ “ภาพ”
●…แม้จะชวนอึดอัดอย่างยิ่งกับ “ภารกิจของรัฐซ่อนรัฐ” ที่ถูกเปิดโปงหมดเปลือกกลางสภา และระดับสมาชิก “พรรคร่วมรัฐบาล” ระดับ “ผู้นำหน้าที่ประธานที่ประชุมลงมา” จนถึง “หัวดำหัวหงอก” ที่ออกมาเล่นบท “กีกี้” ในสภาพ “มือสั่นใจสั่น” แต่ที่ “ภูมิธรรม เวชยชัย” มือการเมืองของ “ทักษิณ ชินวัตร” เห็นว่า “ทำงานการเมืองในความเป็นจริง” เป็น “สัมมาทิฐิ” นั้น จะกระตุ้นให้ “กล้าจัดการอะไรได้”
ชโลทร





