นายกฯอิ๊งค์ เปิดทำเนียบรับ ‘นายกฯอินเดีย’ จับมือ เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ ลงนาม พัฒนา “เทคโนโลยีสารสนเทศ,การศึกษา,การเมืองและความมั่นคง ยกระดับเอฟทีเอไทย-อินเดีย เพิ่มมูลค้าการค้า” ดันโครงการถนน3ฝ่าย ไทย- เมียนมา-อินเดีย เชื่อมโยงภูมิภาค
เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 3 เมษายน ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับนายนเรนทร โมที นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล และนำตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า จากนั้นนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย ลงนามในสมุดเยี่ยมและชมของที่ระลึก ที่ห้องสีงาช้าง
ต่อมาเวลา 15.45 น.นายกฯและนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย หารือข้อราชการเต็มคณะ นานกว่า 1 ชั่วโมง เมื่อจบการหารือ นายกฯทั้งสองประเทศร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงระหว่างประเทศไทยและอินเดีย และรับมอบพระไตรปิฏกสากล ฉบับสัชฌายะ
จากนั้นเวลา17.20น.น.ส.แพทองธาร และนายก สาธารณรัฐอินเดียร่วมแถลงข่าวผลการหารือ โดยนายกฯแถลงว่า ในนามของรัฐบาลและประชาชนไทย ขอต้อนรับนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย และคณะ ในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และเข้าร่วมประชุมผู้นำบิมสเทค ครั้งที่6 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพ และมีความยินดีที่จะประกาศว่าไทยและอินเดีย ได้บรรลุเป้าหมายในการยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์อย่างเป็นทางการ ก้าวสำคัญนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งและมีพลวัตระหว่างสองประเทศเท่านั้น แต่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อความเติบโต ความก้าวหน้าและความเจริญรุ่งเรืองของสองประเทศและของภูมิภาค นอกจากการประกาศยกระดับความสัมพันธ์แล้ว นายกฯทั้งสองประเทศยังเป็นสักขีพยานในการลงนามในบันทึกความเข้าใจหลายฉบับ ครอบคลุมความร่วมมือทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและดิจิทัล วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การพัฒนาการศึกษา วัฒนธรรม สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ให้เกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ในระหว่างการหารือ นายกฯสองประเทศตกลงที่จะเสริมสร้างความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคง ผ่านการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง ความร่วมมือทางอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ การซ้อมรบร่วม และการแบ่งปันแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีในการรับมือกับภัยคุกคาม ทั้งในรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ ในด้านเศรษฐกิจอินเดียเป็น ประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่ง ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยปี 2567 มีมูลค่าการค้าระหว่างกันกว่า 17,000ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ตัวเลขนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพอันแท้จริงของสองประเทศ ไทยจึงเสนอให้มีการเจรจาปรับปรุง ความตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดีย และอาเซียน-อินเดียให้ครอบคลุมมากขึ้น รวมไปถึงการอำนวยความสะดวกในการลงทุนระหว่างกัน
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ส่วนแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในเมียนมา เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาไทยและอินเดียแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งสองประเทศในฐานะประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมา ได้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมาโดยเร่งด่วน และในระยะต่อไปทั้งสองประเทศ จะให้ความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยอย่างยั่งยืนต่อไป และทั้งสองฝ่ายตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญของกันและกัน ในการเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียใต้และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเห็นพ้องที่จะผลักดันโครงการถนน3ฝ่าย ไทย เมียนมา อินเดีย ให้มีความคืบหน้า และไทยได้นำเสนอโครงการแลนด์บริจด์ของไทย ที่จะเชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรอินเดีย เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของเส้นทางขนส่งสินค้า และไทยยังมีแผนพัฒนาท่าเรือระนอง ให้เป็นท่าเรือขนส่งสินค้าหลักที่เชื่อมต่อกับท่าเรือฝั่งตะวันออกของภูมิภาคเอเชียใต้ ซึ่งโครงการเหล่านี้จะเปิดโอกาสการเป็นหุ้นส่วนร่วมทุกการลงทุนและโลจิสติกส์ระหว่างไทยและอินเดีย ทั้งนี้ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือถึงเส้นทางการพัฒนาพระพุทธศาสนา ให้ขยายความร่วมมือถึงรัฐอื่น โดยเฉพาะรัฐคุชราต ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงสถานที่สำคัญของประเทศไทยและประเทศอื่นในบิมสเทค
นายกฯ กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาการท่องเที่ยวระหว่างไทยและอินเดีย มีความก้าวหน้า โดยมีมาตรการการอำนวยความสะดวกในการตรวจลงตราให้กับนักท่องเที่ยวทั้งสองฝ่าย และไทยยังสนับสนุนให้เพิ่มความถี่ของเที่ยวบิน และเปิดเส้นทางการบินใหม่ไปยังเมืองน่าเที่ยวของ ทั้งสองประเทศ และทั้งสองประเทศยังเห็นพ้องที่จะจัดตั้งกลไกการหารือระหว่างกรมการกงสุล เพื่อให้คุ้มครองดูแลชาติของกันและกัน
นอกจากนั้นนายกฯทั้งสองประเทศ ยังได้หารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์และความร่วมมือ ในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเวทีกลุ่มภาคีต่างๆทั้ง บิมสเทค อาเซียน บริกส์ และโออีซีดี
โดยประเทศไทยพร้อมทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างกรอบความร่วมมือที่ไทยเป็นสมาชิก ในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ โดยสรุปการยืนไทยในครั้งนี้ของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอินเดีย และการประกาศยกระดับความสัมพันธ์ ไทยอินเดียเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับความสัมพันธ์อันยาวนานของทั้ง2 ประเทศ และเป็นหมุดหมาย สำคัญที่จะปูรากฐาน ความร่วมมืออันลึกซึ้งระหว่างกันยิ่งขึ้นต่อไป