“ภูมิธรรม” ขอใช้กระบวนการ รัฐสภา ถกกฎหมาย Entertainment Complex ชี้ยืนประท้วงอยู่หน้าสภาฯ อ้างเป็นเสียง ปชช. ทั้งหมดไม่ได้ มองสร้างรายได้-เม็ดเงินเข้าระบบ เพื่อรับมือหลัง “อเมริกา” ขึ้นกำแพงภาษีไทยสูงลิ่ว 36% ถือเป็นเรื่องใหญ่
เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2568 ที่ท่าอากาศยาน 2 กองบิน 6 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่สภาผู้แทนราษฎร เตรียมพิจารณาร่างกฎหมายพระราชบัญญัติสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ในวันที่ 9 เมษายนนี้ ซึ่งเรื่องนี้มีการเคลื่อนไหวทั้งในและนอกสภา จะทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวพับลงไปหรือไม่ว่า รัฐบาลทำหน้าที่ก็พยายามดูเงื่อนไขต่างๆ หากพรรคฝ่ายค้าน มีความเห็นก็ควรจะสู้กันในสภา ในการเสนอความเห็นที่แตกต่างกัน เพื่อให้สภาพิจารณา เพราะเมื่อเรายอมรับในระบอบประชาธิปไตย และยอมรับว่ากระบวนการรัฐสภา คือ จุดสำคัญในการแก้ไขปัญหา ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของรัฐสภา ไม่ใช่ว่าความเห็นในสภา “ไม่ตรงกับฉัน ฉันไม่เอา ฉันก็ไปเดินนอกสภาอย่างเดียว“ แต่กระบวนการที่มาจากนอกสภา ตนเองไม่ว่าและไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งถือเป็นสิทธิของประชาชน ตามระบอบประชาธิปไตย เพียงแต่อย่ามองแค่ว่าการมายืนอยู่หน้าสภาแล้วเหมารวมว่านี่คือเสียงของประชาชน เพราะเสียงของประชาชนที่แท้จริงคือทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นอยากให้มีกระบวนการที่ชัดเจนว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นอย่างไร เพราะเท่าที่ไปดูประชาชนในต่างจังหวัด ประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ได้คิดอย่างที่ฝ่ายค้านคิด ดังนั้น เสียงของประชาชนดีที่สุด
ส่วนกระบวนการในรัฐสภา ฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลก็ดำเนินการกันไป เรื่องนี้เปิดกว้างอยู่แล้ว ซึ่งให้ใช้กระบวนการของรัฐสภาในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง และอะไรที่เป็นประโยชน์กับประเทศ ก็ยึดตรงนั้นเป็นหลัก และอะไรที่จะทำให้รัดกุมขึ้นก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
นายภูมิธรรมกล่าวว่า การเดินหน้าร่างกฎหมายดังกล่าว ถือเป็นการหามาตรการปกป้องให้ดี ไม่ใช่มาคัดค้านหัวชนฝา เพราะจริงๆ แล้วไม่ใช่การยุยงให้คนเข้ามาใช้ หรือติดการพนัน เพราะไม่ใช่ใครก็เข้า “กาสิโน” ได้ เด็กที่มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์ก็ไม่สามารถเข้าได้ หรือรายได้น้อยกว่าเกณฑ์ก็เข้าไม่ได้ ซึ่งทุกอย่างไม่ได้มีขาวไม่ได้มีดำเพียงอย่างเดียว ต้องใช้มาตรการแก้ไขปัญหาดีกว่า มาคัดค้านโดยที่ไม่รู้อะไร และโลกวันนี้สิ่งสำคัญ สหรัฐอเมริกามีมาตรการด้านภาษีถือเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เพราะจะกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงกับประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก อย่างประเทศสิงคโปร์ ที่นายกรัฐมนตรีได้ออกมาแจ้งเตือนประชาชนเตรียมตัวรับมือกับผลกระทบ ซึ่งขนาดสิงคโปร์โดนเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพียง 10% แต่ประเทศไทยโดนถึง 36% ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้เพิ่มรายได้ สร้างเม็ดเงินให้มากขึ้นในระบบ