⦁…“สถานการณ์แบบนี้ไม่มีใครเข้ามาเพื่อกอบโกย เว้นแต่พวกที่ชอบแอบอ้างก็ต้องไปหามา” เสียงยืนยันจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยืนยันความตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างโปร่งใส ส่วน “ใครคือผู้แอบอ้าง” และ “ใครมีหน้าที่ต้องไปหามา” นั้น ตามประสาประชาชนคนเดินดินกินข้าวแกง คงต้องตั้งความหวังไว้ที่ “ใครมีหน้าที่ควรจะต้องรู้ตัวเองว่าต้องทำ”
⦁…ยุทธศาสตร์ใหม่ “ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก” ที่ตั้งเป้าเทงบประมาณมหาศาลสู่ “อีสต์เทิร์นซีบอร์ด” อีกครั้ง หลังดึงการลงทุนยุคใหม่ให้ไทยเป็นศูนย์กลางการพัฒนาดิจิทัลของภูมิภาค ทว่าวันก่อน “พายุฤดูร้อน” พา “ฝนเทมาแฉ่เดียว” น้ำท่วมไปทั่ว เรื่องที่ดูเป็นการด่วนไม่ใช่เรื่องลงทุนใหม่ แต่เป็น “การก่อสร้าง” และ “ผังเมือง” ที่ย่ำแย่ไปเสีย ถนนหนทางแม้มากมาย แต่ “ปัญหารถติด” ขึ้นชื่อลือชา ระหว่าง “ฝันที่วาดไว้ในพรีเซนต์หลากหลายรูปแบบ” กับ “ความเป็นจริงในพื้นที่” ต้องชั่งน้ำหนักดูให้ดีว่า “นักลงทุนจะเชื่อใคร”
⦁…การก่อสร้างแถวนั้นล้วนเข้าตำรา “ฆ่าควายเสียดายเกลือ” เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองมากกว่า “คำนึงถึงผลกระทบต่อส่วนรวม” ทั้งนั้น “นิคมอุตสาหกรรม” สร้างขึ้นมา และขยายใหญ่โตไปทั่วพื้นที่ โดยไม่มีใครใส่ใจว่า “สภาพเมืองรอบนิคม” จะเป็นอย่างไร “ถนนหลวง” สร้างขึ้นมาโดยเสียดาย “งบท่อระบายน้ำ” ฝนตกลงมาเกิดปัญหาทุกปี “คนที่รับกรรม” คือ ชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ “ผันน้ำไม่ให้เข้านิคม” มาท่วมบ้านท่วมเรือน
⦁…ท่ามกลางความหวังอันเกิดจากการ “ประโคมข่าว” ว่า “เศรษฐกิจไทย” มีแนวโน้มสดใส แถมยังมีนโยบายมากมายดูแล “ปากท้องประชาชน” อาชญากรรมประเทศไทยเดินมาถึงจุด “โจรจี้ชิงทรัพย์ด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง” กันแล้ว น่าหวาดหวั่นว่าอีกไม่นานจะไม่เหลือพื้นที่ปลอดภัย น่าเห็นใจคือตำรวจไทยต้องทำงานหนัก ขณะที่ “ประชาชนอยากเห็นการปราบปรามอาชญากรรม” ดูแล “ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน” ที่เป็น “ผลงานครึกโครม” กลับเป็นการตั้งด่าน “ออกใบสั่งผู้ใช้รถใช้ถนน” ตามนโยบายของ “รัฐบาล” ที่เดือดร้อนไปคนละทางกับ “ความหวาดกังวลของประชาชน”
⦁…ไม่ว่า “สนช.” จะสรุป “พ.ร.บ.ปิโตรเลียมฯ” ออกมาในทางจะจัดการ “มาตรา 10/1” ที่ว่าด้วย “บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ” อย่างไร “ชะลอไว้ก่อน เพื่อทำความเข้าใจ” หรือ “เดินหน้าต่อเต็มสูบ” ก็ดูจะไม่จบง่ายๆ เพราะทั้ง “2 ทาง” ล้วนมี “กลุ่มสนับสนุน” ที่แข็งแกร่ง และด้วย “ผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องมหาศาล” จะกลายเป็นเงื่อนไขทำให้เกิด “ความพร้อมจะฟัดกัน” เละ อย่างไรก็ตาม เมื่อ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล โดดลงมาเล่นด้วย “ความเข้มข้นย่อมทะลุกำแพงไปทีละชั้นแน่นอน” เพราะ “คุณชายอุ๋ย” มีความรู้ใน “วิวัฒนาการการบริหารพลังงานชาติ” และ “ตื้นลึกหนาบางของกลุ่มผลประโยชน์” ในระดับที่นับว่าเป็น “คนวงในมายาวนานคนหนึ่ง”
⦁…ที่ต้องมี “คณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติ” เพราะตระหนักถึงปัญหาความไม่ต่อเนื่อง นโยบายรัฐที่กลับไปกลับมาในแต่ละยุคสมัย ก่อปัญหาใน “แผนพัฒนาประเทศ” แต่ที่จะสะท้อนใน “พ.ร.บ.ปิโตรเลียม” คือ “การแย่งชิง และแบ่งสรรผลประโยชน์” ของ “กลุ่มอำนาจ” ที่สุดแล้ว “สำคัญกว่าความต่อเนื่อง” แม้ทิศทางจะ “ย้อนกลับ” จะเสี่ยงต่อหายนะของ “ระบบเศรษฐกิจประเทศ” ก็ดูท่า “ผลประโยชน์จะบังตา” กระทั่งมองไม่เห็น
⦁…การจัดการกับ “วัดพระธรรมกาย” ยังอยู่ในข้อสรุปที่ว่า “ยังไม่ตั้งพระจากวัดอื่นมาเป็นเจ้าอาวาส” แต่จะบริหารวัดด้วย “คณะกรรมการดูแลวัด” ที่ประกอบด้วย “เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ ตัวแทนดีเอสไอ ตัวแทนสำนักงานพระพุทธศาสนา” เรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร ล้วนน่าจับตาติดตาม
ชโลทร
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่