‘เท้ง’ เผย ‘ปชน.’ จัด ส.ส.เตรียมชำแหละ พ.ร.บ.สถานบันเทิงแล้ว เชื่อรัฐบาลมีเบื้องหลัง ย้อน ‘วิสุทธิ์’ ฝ่ายค้านไม่ได้บิดเบือน-โจมตีทางการเมือง มีเพียง รบ.มากกว่าที่พยายามโยนกลับมาว่าฝ่ายค้านเล่นเกมการเมือง เตือนทำอะไรไม่ฟังเสียง ปชช. ระวังอารมณ์โกรธเคืองสังคมซ้ำรอยนิรโทษ
เมื่อวันที่ 6 เมษายน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงแนวทางการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 9 เมษายน ที่จะมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ของพรรค ปชน.ว่า พรรค ปชน.ได้มีการจัดเตรียม ส.ส.ไว้สำหรับอภิปรายเรียบร้อยแล้ว ซึ่งขอตั้งข้อสังเกตย้ำว่ารัฐบาลมีความรีบเร่งเกินความจำเป็น ทั้งที่เรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบในวงกว้างต่อสังคม จึงอยากให้รัฐบาลเปิดโอกาสในการพูดคุยให้มากขึ้น
เมื่อถามว่า พรรค ปชน.จะมีแนวทางอย่างไรในการยับยั้งร่างกฎหมายฉบับนี้ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ในฐานะฝ่ายค้านที่ถือเสียงข้างน้อย หากรัฐบาลจะผลักดันให้ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านวาระแรกโดยเสียงข้างมากก็สามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว ซึ่งพรรค ปชน.ไม่ได้ขัดขวางกระบวนการดังกล่าว เพียงแต่เห็นว่าการเลื่อนระเบียบวาระร่างกฎหมายดังกล่าวของรัฐบาลเพื่อให้แซงหน้ากฎหมายฉบับอื่นๆ ที่มีความสำคัญไม่แพ้กันนั้น สะท้อนได้ชัดว่ารัฐบาลมีเหตุใดอยู่เบื้องหลังในการเร่งรีบผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้
เมื่อถามถึงกรณีที่นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ออกมาเตือนฝ่ายค้านว่าอย่าเล่นการเมืองในสภามาก เพราะประชาชนจะเบื่อและทหารจะออกมา นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ในมุมหนึ่งตนไม่อยากให้รัฐบาลมองว่าฝ่ายค้านเล่นเกมการเมือง เพราะการสื่อสารของฝ่ายค้านก็ย้ำมาตลอดว่าต้องการให้กระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายตรงไปตรงมาตามระเบียบวาระ ตามลำดับ และฝ่ายค้านไม่ได้บิดเบือนหรือโจมตีทางการเมืองอย่างใด มีเพียงฝ่ายรัฐบาลมากกว่าที่พยายามโยนกลับมาว่าฝ่ายค้านเล่นเกมการเมือง ฉะนั้น ประชาชนกำลังจับตาอยู่ และคิดว่าประชาชนจะสามารถตัดสินได้ดีที่สุด
กรณีมองร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์จะเป็นจุดจบของรัฐบาล ซ้ำรอยร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเหมือนในอดีตหรือไม่นั้น นายณัฐพงษ์กล่าวว่า จะต้องรอดูต่อ เพราะหากรัฐบาลขาดความชอบธรรมมากๆ และดำเนินการสิ่งใดโดยไม่ฟังเสียงประชาชน อารมณ์ความโกรธของสังคมก็น่าจะยิ่งสูงขึ้น ฉะนั้น รัฐบาลจะดำเนินการใดต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะตนก็ไม่อยากให้ภาพการเมืองไทยกลับไปซ้ำรอยอดีต
