วีระ หวังสัจจะโชค
อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
ก ารเลือกตั้งท้องถิ่นระดับเทศบาลความเข้มข้นมากกว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เพราะว่าถ้าใครได้มามีอำนาจในเทศบาล จะได้เขตพื้นที่ แล้วนโยบายงบประมาณ คุมคะแนนเสียง เพราะฉะนั้น ใครคุมเทศบาลได้จะยึดกลุ่มก้อนคะแนนหลักเอาไว้ต่อรองในการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็น อบจ., ระดับชาติได้ เพราะฉะนั้น การแข่งขันเลือกตั้งเทศบาลในการต่อสู้กัน หลายพื้นมีคู่แข่งขันหลายคน กลุ่มที่เรียกว่าเป็นบ้านใหญ่มาจากการรวมเสียง การแข่งเทศบาลจะเห็นว่าในหลายพื้นที่ ทั้งปทุมธานี หรือเขตปริมณฑลรอบกรุงเทพฯ จะมีการแข่งขันที่สูงมากขึ้น และมีบทบาทพรรคการเมืองในส่วนกลางเข้าไปช่วยเหลือมากยิ่งขึ้น รวมถึงจังหวัดใหญ่ๆ เช่น เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช รวมถึงจังหวัดอื่น แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีล่วงหน้าไปแล้ว เพราะว่ามีนายกเทศมนตรีบางกลุ่มใช้ยุทธศาสตร์การลาออกก่อน ทำให้เลือกตั้งไปก่อน แต่นายกท้องถิ่นทำงานอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอ จำเป็นจะต้องมีทีมงานเข้าไปทำงานในฝ่ายสภาเทศบาลด้วย
ตรงนี้น่าสนใจ สภาเทศบาลควรเป็นฝ่ายตรวจสอบ ถ่วงดุลนายกเทศมนตรี แต่การหาเสียงการเลือกตั้งแทบทุกพื้นที่กลายเป็นว่านายกเทศมนตรีเองไปตั้งทีมฝ่ายสภาเทศบาลขึ้นมาเพื่อให้มีทีมของนายกเองเข้าไปทำงาน แทนที่จะได้ตรวจสอบกลายเป็นชงกันเองกินกันเอง แล้วทำให้หลายปัญหาเกิดขึ้นจากการจัดสรรงบประมาณการจัดซื้อครุภัณฑ์ได้รับการอนุมัติจากสภากลับได้รับการอนุมัติง่ายขึ้น
การแข่งขันเลือกตั้งท้องถิ่นเทศบาลเป็นจุดตั้งต้นการสร้างฐานอำนาจ เราเรียกว่าตระกูลการเมือง หรือบ้านใหญ่ต่างๆ อันนี้เป็นในเชิงของภาพรวม ในเชิงบทบาทการเลือกตั้งเทศบาลเป็นการเลือกตั้งระดับพื้นที่ เป็นการต่อสู้ระหว่างคนในพื้นที่มากกว่า และเป็นการต่อสู้ของกลุ่มเฉพาะในพื้นที่ที่มีการทำงานอย่างต่อเนื่อง ที่มีพรรคการเมืองอย่างพรรคประชาชน หรือพรรคเพื่อไทย เช่น เอานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไปช่วยหาเสียงก็ตาม จะเกิดขึ้นเฉพาะเทศบาลนครใหญ่ๆ เท่านั้นที่เป็นจุดยุทธศาสตร์หลัก
แต่ถ้าดูโดยรวมมีระยะห่างจากพรรคการเมืองมากๆ จะมีการตั้งกลุ่มเฉพาะเข้ามาแข่งกัน ด้วยเหตุผลที่ว่าการตั้งกลุ่มเฉพาะท้องถิ่นเข้ามาแข่งขันกันง่ายกว่าการหาเสียงมาก ไม่ต้องไปผูกพันกับรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน ว่าใครจะมีคะแนนนิยมมากขึ้นหรือน้อยลง การตั้งกลุ่มท้องถิ่นสเกลการทำงานทำได้ง่ายกว่า และไม่ใช่แค่เรื่องหาเสียงอย่างเดียว
ประเด็นต่อไปคือ การแข่งขันในเรื่องของการใช้เงินมีหรือไม่ การเลือกตั้งระดับเทศบาลถ้ามีการใช้เงิน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าการใช้เงินแล้ว จะรับประกันผลชนะได้ เพราะว่าถ้าพูดกันอย่างตรงไปตรงมาทุกคนมีกลวิธีในการที่จะดึงใจประชาชน และสร้างเครื่องมือที่จะบอกว่าเป็นนักการเมืองท้องถิ่นที่ไม่ลืมประชาชน และบางคนก็ใช้วิธีการให้เงินเพื่อดึงคนกลับมาเลือกตั้ง บางคนอาจจะให้ 2 รอบก็ได้ ให้ก่อน กับให้หลังเลือกตั้งก็มี เช่น บางจังหวัดในเขตภาคเหนือตอนล่างให้รอบแรก แต่ไม่ให้รอบ 2 เลยแพ้การเลือกตั้งเทศบาลไป การใช้เงินมีการใช้กันในทุกๆ ฝ่าย แต่ไม่ใช่เป็นตัวตัดสินว่าผู้รับจะเลือกคุณ ไม่มีหลักประกันอะไร การใช้เงินเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการตัดสินใจเท่านั้น แต่ผลงาน การทำงานในพื้นที่ต่างหากที่จะทำให้คนตัดสินใจว่าเขาจะเลือกใคร
ประชาชนรับเงินจากทุกฝ่าย แต่การรับเงินไม่ได้เป็นสิ่งที่จะตัดสินว่าเขาจะเลือกคุณ ตรงนี้ผิดกฎหมายแน่ๆ เป็นผลเสียต่อประชาธิปไตยระดับท้องถิ่นแต่ในเงื่อนไขนี้ ประเทศ คนระดับพื้นที่ คนระดับท้องถิ่น ไม่ได้การดูแลจากภาครัฐเพียงพอ งบประมาณของประเทศไปลงที่จังหวัดใหญ่ๆ หรือกรุงเทพมหานคร ท้องถิ่นจึงต้องหาทางรอด ผู้ที่จะเข้ามาดูแลชีวิตเขา ในมุมมองของเขาเอง ทำให้เกิดการใช้เงินในการเลือกตั้งท้องถิ่น ในการเลือกตั้งท้องถิ่นถ้าสามารถคุมเสียงได้ประมาณ 15,000 คะแนน คุณก็ชนะเทศบาลได้แล้ว คนลงทุนถ้าลงทุน จริงๆ หัวละ 1,000 บาท ก็ถือว่าลงทุนไม่เยอะ ถ้าแจกหัวละพันจริงๆ ก็จะใช้เงินแค่ 15 ล้านบาทเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าคุณลงเงินไปแล้วจะประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นผลงานในอดีตมากกว่าที่จะเป็นบทพิสูจน์การตัดสินใจ
ส่วนในเชิงการตื่นตัวในการเลือกตั้งท้องถิ่น คนทั่วไปจะไม่ให้ความสำคัญกับการกลับไปเลือกตั้งมากนัก การออกมาใช้สิทธิจึงวิ่งอยู่ที่ประมาณ 50-60% โดยค่าเฉลี่ยในหลายพื้นที่ และยิ่งมีปรากฏการณ์ที่นายกเทศมนตรีชิงลาออกก่อนแล้วเลือกตั้งก่อน ทำให้บางพื้นที่โดยเฉพาะการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นอย่างเดียว คนก็ยิ่งออกมาเลือกตั้งน้อยลงไปใหญ่
ส่วนคนที่อยู่ในพื้นที่อยู่แล้วก็มีการตื่นตัว ส่วนเรื่องการทุจริตมั่นใจว่ารู้ คนที่ไม่รู้ว่าจะทุจริตเลือกตั้งคงมีเพียงหน่วยงานเดียว คือ กกต. ที่มองไม่เห็นการซื้อเสียง หรือการทุจริตเลือกตั้ง การทุจริตในลักษณะที่เอารถไปรับคนไปเลือกตั้ง ขนคนไปเลือกตั้ง นั่งรถกระบะไปด้วยกัน นั่งรถตู้ไปด้วยกัน มีอยู่แล้ว ทุกคนก็รู้ว่ามันมี แต่การทุจริตดังกล่าวเป็นการทุจริตอันเกิดจากการฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือเปล่า ผมมองว่าไม่ใช่ แต่เป็นเพียงการใช้ทรัพยากรของนักการเมืองท้องถิ่นในการดึงใจคนให้เข้าไปสนับสนุนเท่านั้น แล้วประชาชนก็รู้ แต่ไม่ใช่เป็นเหตุให้ประชาชนต้องออกไปร้องเรียน ประชาชนจะไปร้องเรียนได้ยังไง นักการเมืองท้องถิ่นรู้จักตำรวจ รู้จักอัยการ รู้จัก กกต.เองด้วยซ้ำ และยิ่ง กกต.เลยกลายเป็นว่าภาระไปตกอยู่กับคนร้องเรียนหมดเลย
เพราะฉะนั้น ในระดับท้องถิ่นจึงไม่ใช่ว่าประชาชนตื่นตัวหรือไม่ อยู่ที่กลไกรัฐ กกต.ที่คอยกำกับดูแลการเลือกตั้งได้ตรวจสอบจริงหรือเปล่า และการที่ กกต.ออกมาพูดทุกครั้งว่าการเลือกตั้งสุจริต ไม่มีการซื้อเสียง ขัดกับความเข้าใจของประชาชนมาโดยตลอด
ส่วนการเลือกตั้งในอีก 2 ปีข้างหน้าอาจจะเปลี่ยนตระกูลทางการเมืองในการควบคุมฐานเสียง แต่ละพรรคจะต้องมีการเจรจาต่อรองนักการเมืองท้องถิ่นใหม่ นักการเมืองระดับชาติต้องมารวบรวมคะแนนเสียงในระดับท้องถิ่นใหม่ตามกลุ่มต่างๆ ที่มีในท้องถิ่นนั้น ระยะหลังพบว่า ส.ส.หลายอายุ 30-40 ปี เป็นลูกหลานนักการเมืองท้องถิ่นที่แข่งในระดับเทศบาล หรือแข่งระดับ อบจ. พ่อแม่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น แต่ว่าลูกเป็นนักการเมืองระดับชาติ เพราะนักการเมืองท้องถิ่นคือคนที่คุมคะแนนเสียงจริงๆ ไม่ใช่นักการเมืองระดับชาติ เพราะฉะนั้น การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปี 2570 นักการเมืองระดับชาติจะต้องมาหาข้อตกลงว่า เทศบาล 1, 2, 3, 4 ที่คุมคะแนนเสียงจะมีใครออกมาช่วยด้านคะแนนได้บ้าง ก็จะเป็นระบบบ้านใหญ่ที่จะส่งผลในลักษณะดังกล่าว ยังไม่ถึงเวลาที่จะบอกว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงว่าบ้านใหญ่ไม่มีอำนาจขนาดนั้น หรือนักการเมืองระดับชาติไม่ต้องพึ่งนักการเมืองท้องถิ่น ยังไงนักการเมืองระดับชาติต้องพึ่งคะแนนเสียงจากนักการเมืองท้องถิ่น
ไพลิน ภู่จีนาพันธุ์
คณบดีคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
การเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงใหม่ทำให้เห็นบทบาทพรรคการเมืองใหญ่ที่ส่งผู้สมัครลงแข่งขันในระดับเทศบาลเป็นครั้งแรก หมายความว่าสนามเทศบาลนครเชียงใหม่เป็นสนามที่ไม่ใช่แค่เทศบาล แต่เป็นสนามการประชันภาพลักษณ์และปักธงความนิยมของคนในระดับท้องถิ่น ระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน
ทั้งนี้ ยิ่งทำให้เห็นภาพชัดมากขึ้นว่า จ.เชียงใหม่ เป็นจังหวัดยุทธศาสตร์ทางการเมืองของสองพรรคใหญ่นี้
เริ่มชัดเจนตั้งปี 2562 ปี 2566 ปี 2567 และล่าสุดเลือกตั้งเทศบาลปีนี้ นี่คือการพยายามปักธงทางการเมือง และทำให้บทบาทของพรรคการเมืองไม่ใช่แค่การเมืองระดับชาติ แต่คือการเมืองระดับท้องถิ่นด้วย น่าสนใจว่าโมเดลเชียงใหม่จะขยายผลส่งต่อไปยังจังหวัดอื่นด้วยหรือไม่ เพราะพรรคประชาชนชนะเลือกตั้ง อบจ.ลำพูนมา แม้จะแพ้เลือกตั้ง อบจ.เชียงใหม่ แต่แพ้ 20,000 กว่าคะแนน พรรคประชาชนจึงต้องพยายามรักษาความนิยมและฐานคะแนนระดับท้องถิ่นไว้
การชนะการเลือกตั้งคือเป้าหมายของพรรค การเมือง แต่การรักษาฐานคะแนนและการพยายามเติมน้ำใส่แก้วไปเรื่อยๆ สำคัญมากกว่า เพราะเป้าหมายสำคัญคือ การเลือกตั้งใหญ่ในอีก 2 ปีข้างหน้า ฉะนั้น สนามเลือกตั้งคือสนามที่ทำให้พรรคการเมืองไม่หายไปจากประชาชน ทั้งระดับชาติ หรือระดับท้องถิ่น บางครั้งพรรคการเมืองบางพรรคอาจมุ่งการเมืองระดับชาติ แต่ลืมการพยายามเข้ามามีบทบาทในการเมืองท้องถิ่น จริงๆ แล้วสนามท้องถิ่นทำให้พรรคการเมืองไม่หายไปจากวิถีชีวิตของประชาชน การทำให้คนรู้จักพรรคมากขึ้นผ่านกลไกท้องถิ่นจึงมีโอกาสสูง
ความน่าสนใจในการเลือกตั้งเทศบาลนครเชียงใหม่รอบนี้ คือบ้านใหญ่ตระกูลบูรณุปกรณ์จับมือกับพรรคเพื่อไทย ทำให้เห็นความแตกต่างในช่วงการเลือกตั้ง ส.ท.และ อบจ.ปี’63 ขณะนั้นตระกูลชินวัตรและบูรณุปกรณ์แข่งขันกัน แต่ตอนนี้เพื่อไทยและบูรณุปกรณ์มาผนึกกำลังกัน แน่นอนว่าพรรคเพื่อไทยเดิมพันในสนามการเมืองท้องถิ่นสูง และพยายามปักธงเพื่อเป้าหมายการเลือกตั้งใหญ่ในอีก 2 ปีข้างหน้า เห็นชัดเจนตั้งแต่นายทักษิณ ชินวัตร ลงมาช่วยหาเสียงด้วยตัวเองตั้งแต่สนามเลือกตั้ง อบจ.จนถึงเทศบาลนครเชียงใหม่
การที่นายทักษิณลงมาช่วยหาเสียงเองสะท้อนให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยต้องการที่จะชนะและยึดคืนพื้นที่ตามที่ประกาศไว้ แต่ต้องยอมรับว่าพื้นที่ในเขตเมืองของเชียงใหม่ แม้เป็นพื้นที่เล็กก็จริง การควบคุมกำกับอาจดูเหมือนง่าย แต่การแปรผันของพื้นที่เมืองสูงกว่าพื้นที่รอบนอก ในช่วงโค้งสุดท้ายจึงน่าติดตาม เพราะสถานการณ์ไม่นิ่ง เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เหมือนคลื่นที่ขึ้นลงๆ ระหว่างพรรคต่างๆ ไม่ใช่เฉพาะแค่ 2 พรรคใหญ่ แต่ยังมีกลุ่มการเมืองและผู้สมัครอิสระด้วย
หากมองอีกแง่ยังมีกลุ่มคนที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกอยู่ค่อนข้างมาก และประชาชนที่ไม่ต้องการพรรคการเมืองทั้งสองพรรคก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง จึงเป็นอีกประเด็นที่เป็นความท้าทายและมองข้ามไม่ได้ เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้มีปัจจัยและตัวแปรเยอะ โดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้ายที่ยังไม่นิ่งมีคลื่นขึ้นลง รวมทั้งมีกระแสข่าวและความพยายามสร้างสปอตไลต์ไปที่บางพรรค ทั้งด้านขาว ด้านดำ ขณะที่พรรคประชาชนก็ไม่แผ่ว ส่งแกนนำสำคัญ เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายชัยธวัช ตุลาธน ลงพื้นที่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมาพรรคประชาชนจะส่งแกนนำลงพื้นที่ตลอดเพื่อไม่ให้ประชาชนลืม
ส่วนกระแสการซื้อเสียงระดับท้องถิ่น เงินซื้อเสียงไม่ได้มาในรูปของเงินซื้อเสียง งานวิชาการและงานวิจัยต่างๆ ก็ชี้ให้เห็นว่า เงินซื้อเสียงไม่ได้ถูกใช้ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง แต่เกิดในช่วงอื่นและออกมาในรูปแบบอื่น ไม่ซื้อในช่วงคืนหมาหอนเหมือนที่ผ่านมา แต่แน่นอนว่ายังมีการใช้เงิน หรือการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการให้ค่าตอบแทนยังมีอยู่ แต่ทำได้ยากขึ้น เพราะมีสื่อออนไลน์ หรือภาคประชาสังคมที่ติดตามตรวจสอบมากกว่าเป็นผู้รับเงิน ทำให้การใช้เงินซื้อเสียงทำได้ยาก และไม่ได้เป้าประสงค์เหมือนในอดีต ยิ่งมีข่าวสมุดบันทึกโพยที่พรรคประชาชนเก็บได้ออกมาก็ยิ่งเกิดความหวาดกลัว ทั้งในฝั่งของประชาชนและกลุ่มเป้าหมาย แต่ก็ถือเป็นกลไกหนึ่งในการป้องกันการซื้อเสียงได้