อาจารย์พิชาย วิเคราะห์กล้าธรรม ยกแนวเสริมทัพบิ๊กเนม ชี้กลยุทธ์-ภาพลักษณ์-เสถียรภาพรบ.
พรรคกล้าธรรม – เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 นายพิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ผ่านเฟสบุ๊ก เรื่อง “วิเคราะห์พรรคกล้าธรรม” โดยมีเนื้อหาดังนี้
จากบทสัมภาษณ์ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม เกี่ยวกับการดึงตัว น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ และนายการุณ โหสกุล อดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทย รวมถึงการวางแผนดึง ส.ส. และบุคคลที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ เข้ามาร่วมพรรคกล้าธรรม สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมและกลยุทธ์ของพรรคกล้าธรรมในมิติต่างๆ ดังนี้
1.กลยุทธ์การเสริมทัพด้วยการดึง ส.ส.
การดึงตัว น.อ.อนุดิษฐ์ และนายการุณ รวมถึงการวางแผนดึง “บิ๊กเนม” และ ส.ส. อื่นๆ เข้ามาในพรรค แสดงถึงกลยุทธ์ที่เน้นการขยายอิทธิพลทางการเมืองผ่านการรวบรวมบุคคลที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์ ธรรมนัสยืนยันว่าไม่ใช่การ “แจกกล้วย” หรือซื้อตัว แต่เป็นการเลือกคนที่มีอุดมการณ์และอนาคตทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นการ “ดูด ส.ส.” เพื่อหวังตำแหน่งหรือผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งสะท้อนภาพลักษณ์ที่อาจถูกตีความว่าเป็นการเมืองแบบเก่าที่เน้นผลประโยชน์มากกว่าอุดมการณ์
การที่ธรรมนัสระบุว่ามีการหารือกับนายทักษิณ ชินวัตร ก่อนดึงตัวบุคคลจากพรรคเพื่อไทย อาจทำให้พรรคกล้าธรรมถูกมองว่าเป็น “พรรคสาขา” หรือมีความเชื่อมโยงกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งธรรมนัสปฏิเสธ โดยอ้างความสัมพันธ์ส่วนตัวและความคล้ายคลึงในแนวคิดทางการเมือง แต่การอ้างถึงทักษิณอาจยิ่งตอกย้ำข้อครหานี้ในสายตาประชาชน
2.ภาพลักษณ์และการวางตำแหน่งพรรค
พรรคกล้าธรรมพยายามสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็นพรรคที่มุ่งเน้นการทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่แค่การรวบรวม ส.ส. เพื่อเพิ่มอำนาจ ธรรมนัสเน้นว่าการดึงตัว ส.ส. เป็นการเสริมทัพด้วยคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้และวุฒิภาวะ รวมถึงการวาง น.อ.อนุดิษฐ์ เป็นผู้นำเพื่อสร้าง “สถาบันการเมือง” ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การที่ธรรมนัสระบุว่าจะค่อยๆ เปิดตัว ส.ส. ใหม่ทีละคน อาจเป็นกลยุทธ์เพื่อรักษาความสนใจจากสื่อและประชาชน แต่ก็อาจถูกมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ขาดความโปร่งใส
การที่ธรรมนัสปฏิเสธว่าไม่หวังตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และยืนยันว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล เหมาะสมกับตำแหน่งนี้อยู่แล้ว อาจเป็นความพยายามลดแรงกดดันจากข้อกล่าวหาว่าพรรคกล้าธรรมกำลังแย่งชิงอำนาจจากพรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทย
อย่างไรก็ตาม การย้ำว่า พรรคกำลังมองไปที่การเลือกตั้งครั้งหน้า แสดงถึงการวางแผนระยะยาวเพื่อเพิ่มจำนวน ส.ส. และขยายฐานอำนาจ
3.ความสัมพันธ์กับพรรคอื่นและเสถียรภาพรัฐบาล
ธรรมนัสแสดงท่าทีเป็น “คนกลาง” ที่พร้อมเจรจาเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย โดยเน้นว่าปัญหาการเมืองต้องจบด้วยการเมือง ไม่ใช่ “การทหาร” ซึ่งอาจเป็นการส่งสัญญาณถึงความกังวลต่อ “อุบัติเหตุทางการเมือง” ที่อาจเกิดขึ้น เขายังมองว่ารัฐบาลน่าจะอยู่ครบวาระ แม้จะยอมรับว่าทุกพรรคกำลังจัดทัพเพื่อเตรียมการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความตึงเครียดและการแข่งขันที่ซ่อนอยู่ภายในรัฐบาลผสม
การที่ธรรมนัสระบุว่า ส.ส. บางคนในพรรคพลังประชารัฐ “เป็น ส.ส. เพราะผมช่วย” แสดงถึงอิทธิพลส่วนตัวของเขาในวงการเมือง และอาจเป็นการส่งสัญญาณถึงความสามารถในการดึง ส.ส. จากพรรคอื่น รวมถึงพลังประชารัฐ ซึ่งเขาเคยสังกัดมาก่อน อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวเช่นนี้อาจสร้างความไม่พอใจในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล และเพิ่มความเสี่ยงต่อความขัดแย้งภายใน
4.จุดแข็งและจุดอ่อนของพรรคกล้าธรรม
จุดแข็ง:
เครือข่ายและอิทธิพลของธรรมนัส : ธรรมนัสมีประสบการณ์และความสัมพันธ์ในวงการเมืองที่กว้างขวาง ซึ่งช่วยให้พรรคสามารถดึงตัวบุคคลที่มีชื่อเสียงและ ส.ส. เข้ามาได้
การวางแผนระยะยาว: การมองไปที่การเลือกตั้งครั้งหน้าแสดงถึงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการขยายฐานอำนาจ
จุดอ่อน:
ภาพลักษณ์การ “ดูด ส.ส.” : ข้อกล่าวหาจากฝ่ายค้านและสาธารณชนอาจทำให้พรรคถูกมองว่าเป็นพรรคที่เน้นผลประโยชน์มากกว่าอุดมการณ์
ความเชื่อมโยงกับทักษิณ: การอ้างถึงการหารือกับทักษิณอาจทำให้พรรคถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายเพื่อไทย ซึ่งอาจจำกัดฐานเสียงในกลุ่มที่ต่อต้านทักษิณ
ความเสี่ยงจากความขัดแย้งภายในรัฐบาล: การดึง ส.ส. จากพรรคอื่นอาจสร้างความตึงเครียดกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะภูมิใจไทยและพลังประชารัฐ
5.บริบทและผลกระทบต่อประชาธิปไตย
การเคลื่อนไหวของพรรคกล้าธรรมสะท้อนถึงปัญหาการเมืองแบบ “งูเห่า” ที่ ส.ส. ย้ายพรรคเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งธรรมนัสพยายามปฏิเสธว่าไม่ใช่การซื้อตัว แต่การที่ ส.ส. เปลี่ยนพรรคบ่อยครั้งอาจบ่อนทำลายความไว้วางใจของประชาชนต่อระบบการเลือกตั้ง ประชาชนที่เลือก ส.ส. จากพรรคหนึ่งอาจรู้สึกว่าถูกทรยศเมื่อ ส.ส. ย้ายไปสังกัดพรรคอื่นที่มีนโยบายหรือจุดยืนต่างกัน
นอกจากนี้ การที่พรรคกล้าธรรมเน้นการดึงตัวบุคคลที่มีชื่อเสียง อาจทำให้พรรคขาดการสร้างฐานจากนโยบายที่ชัดเจนหรือการพัฒนาอุดมการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งอาจส่งผลต่อความยั่งยืนในระยะยาว หากพรรคถูกมองว่าเป็นเพียง “ที่พัก” ของนักการเมืองที่ต้องการโอกาสทางการเมือง
สรุป
พรรคกล้าธรรมภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กำลังอยู่ในช่วงขยายอิทธิพลผ่านการดึงตัว ส.ส. และบุคคลที่มีชื่อเสียง โดยใช้เครือข่ายส่วนตัวและความสัมพันธ์ทางการเมืองเป็นจุดแข็ง
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวนี้มาพร้อมกับความเสี่ยงต่อภาพลักษณ์ โดยเฉพาะข้อกล่าวหาเรื่องการ “ดูด ส.ส.” และความเชื่อมโยงกับทักษิณ ซึ่งอาจทำให้พรรคถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองแบบเก่าที่เน้นผลประโยชน์มากกว่าอุดมการณ์