คดีฮั้วเลือก ส.ว. – หมายเหตุ – ความเห็นนักวิชาการประเมินสถานการณ์การเมืองไทยจากกรณีคดีฮั้วการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกหมายเรียก ส.ว.เข้าชี้แจงข้อกล่าวหาแล้ว 79 คน หมายเรียกบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทยอีก 10 คน และยังมีผู้ยื่นคำร้องให้ กกต.ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุคพรรคภูมิใจไทย โดยกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการฮั้วเลือก ส.ว.
โอฬาร ถิ่นบางเตียว
คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.บูรพา
คดีฮั้ว ส.ว.ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ผมมองว่าการเมืองไม่สามารถต่อรองอะไรได้ทั้งสิ้น เพราะเลยช่วงเวลาต่อรองไปแล้ว ซึ่งจะนำไปสู่วิกฤตทางการเมืองครั้งยิ่งใหญ่ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี แต่กระบวนการยังต้องไปต่อ ถึงแม้ว่าทางพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กับพรรคเพื่อไทย (พท.) จะต่อรองอะไรก็แล้วแต่ สังคมจะไม่ยอม เพราะพยานหลักฐานถูกเปิดเผยกันหมดแล้ว มีตัวละครใครบ้างที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นจุดวิกฤตการเมืองไทย และจะทวีความรุนแรงนับตั้งแต่วินาทีนี้ไป
ส่วนจะถึงขั้นยุบพรรค ภท.หรือไม่นั้น หากดูตามรูปการณ์ กรณีที่มีการฟ้อง เปิดเผยชื่อคน พฤติกรรม และพฤติการณ์ต่างๆ หากดำเนินการไปตามระเบียบขั้นตอนของกฎหมาย จะต้องยุบพรรค แต่ ส.ว.ชุดนี้มีเงื่อนไขอย่างหนึ่งคือผลการทำงาน การรักษาเครือข่ายชนชั้นนำเอาไว้ การที่จะถึงขั้นดำเนินการยุบพรรค ภท.หรือดำเนินการเกี่ยวกับคดีฮั้ว ส.ว.ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด ตามหลักการนั้นใช่ แต่ในความเป็นจริง มาเจอการเมืองไทยที่ไม่ปกติ อาจจะเจอเหตุการณ์แบบคาดไม่ถึง
กรณีที่มีโจทก์มาฟ้องให้ยุบพรรค ภท.จำนวนมาก ในความเป็นจริง หากเป็นการร้องระหว่างพรรคการเมืองถือว่าปกติ แล้วมีการต่อรอง แต่ครั้งนี้มีทั้งประชาชน สังคม และสื่อมวลชนเล่นด้วย หากดีเอสไอทำงานไม่ตรงไปตรงมา กกต.ทำงานไม่ตรงไปตรงมา หลักฐานที่อยู่ในมือของภาคประชาสังคมจะถูกเปิด จะส่งผลให้ดีเอสไอและ กกต.ไม่สามารถตอบคำถามสังคมได้
ขณะนี้ผู้เล่นคดีฮั้ว ส.ว.ไม่ใช่พรรค ภท.กับพรรค พท. แต่สังคมกลายเป็นผู้เล่นไปด้วย ทั้งที่เห็นใจ ส.ว.ที่ถูกหลอกใช้มาตลอด แต่ในความเป็นจริง ส.ว.ไปพึ่งพานักการเมือง และถูกหลอกใช้ ทำให้เหตุการณ์บานปลาย จนไม่สามารถพูดคุยกันได้
ต้องยอมรับว่าความขัดแย้งมาไกลเกินที่จะยุติ เพราะเข้ากระบวนการไปแล้ว ปัญหาคือเปลี่ยนรัฐมนตรี แต่กระบวนการทางกฎหมายยังไปต่อ ล้มรัฐบาลไป แต่ดีเอสไอยังไปต่อ มีทางเดียวเท่านั้นจะทำให้ปัญหาหมดไป คือรัฐประหาร เพราะต้องฉีกรัฐธรรมนูญ ล้ม ส.ว. ล้ม ส.ส. ล้มองค์กรอิสระ ตอนนี้แค่เปลี่ยนรัฐบาลไม่พอ ถึงแม้ว่าจะมีแนวคิดที่จะล้มรัฐบาล เพราะใช้งบประมาณผิดประเภทก็ตาม แต่ปัญหาไม่ได้หมดไป เพราะกลไกที่เกิดขึ้นยังต้องเดินหน้าต่อไป
มามองทางพรรค ภท.เชื่อว่าได้ตั้งรับแล้ว หากจะล้มคดีฮั้ว ส.ว.ทางเดียวเท่านั้น พยานที่เกิดขึ้นทั้งหมดต้องเป็นพยานเท็จ หรือกล่าวง่ายๆ ผู้ร้องกลับลำหมด เป็นการเข้าใจผิดพลาดข้อมูลคลาดเคลื่อน กล่าวง่ายๆ ต้องไปถอนเรื่องทั้งหมด แต่ดูท่าจะยาก เพราะเรื่องเดินมาไกลแล้ว เปิดชื่อ เปิดหน้ากันหมดแล้ว ส่วนการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะดีเอสไอเดินหน้าไปแล้ว ข้อมูลอยู่ที่ประชาชน สังคมหมดแล้ว มองได้ว่าเล่นงานกันหนัก ไม่มีทางออก นำไปสู่เดดล็อกทางการเมือง รวมทั้งยุบสภาก็แก้ไม่ได้เช่นกัน เพราะกระบวนการตรวจสอบฮั้ว ส.ว.ยังอยู่ ถึงแม้จะปรับเปลี่ยนผู้รับผิดชอบดีเอสไอแล้วก็ตาม เป็นเพียงการชะลอเท่านั้น แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะผู้เล่นไม่ใช่เฉพาะพรรค ภท.และพรรค พท.เท่านั้น แต่ประชาชนเป็นผู้เล่นด้วย หากชะลอคดีฮั้ว ส.ว.สังคมจะวิพากษ์วิจารณ์ มองไปแล้วทั้งพรรค พท.และพรรค ภท.เล่นเกมการเมืองแรงเกินไป สุดท้ายคุมเกมไม่ได้ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามสภาพที่เห็นอยู่ในขณะนี้
อนาคตมองไปแล้ว ทั้งพรรค พท.และพรรค ภท.จะบานปลายไปเรื่อยๆ ทางออกคดีฮั้ว ส.ว.มองว่าทาง ส.ว.ต้องถอดเสื้อไม่สังกัดพรรคการเมือง แล้วมาทำหน้าที่ ส.ว.แบบปกติ ส่วนกระบวนการดำเนินคดีฮั้ว ส.ว.ทั้งดีเอสไอและ กกต.ต้องทำงานตรงไปตรงมา
หาก ส.ว.ไม่สามารถทำงานได้ ปัญหาที่ตามมาคือจะทำให้สภาไม่สามารถออกกฎหมายสำคัญๆ ได้ การแต่งตั้งองค์กรอิสระจะเป็นปัญหา เพราะปลายเดือนพฤษภาคมนี้จะมีการพิจารณาผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระหลายตำแหน่ง ทั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), กกต. และศาลรัฐธรรมนูญด้วย หาก ส.ว.ขณะนี้ยังไม่มีความชอบธรรม เมื่อไปแต่งตั้งองค์กรอิสระอีก ก็ขาดความชอบธรรมเช่นกัน
ถ้ามาดูความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของพรรคกล้าธรรม (กธ.) จะส่อไปในแนวทางยุบสภาหรือไม่นั้น ผมมองว่าพรรค พท.ต้องการเล่นเกม หากเป็นไปได้คือต้องยุบพรรค ภท.
ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค ก็จะเป็นความได้เปรียบของพรรค พท.แต่กระแสของพรรค พท.ก็ไม่ดี จึงต้องสร้างพรรคการเมืองนอมินีขึ้นมาใหม่ก็คือ กธ.ซึ่งเป็นการมองการเมืองระยะยาวของพรรค พท.ที่ต้องการเห็นพรรค ภท.ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ดูไปแล้วจะเห็นว่ากลุ่มอนุรักษนิยมวางแผนผิดพลาด แต่การเมืองในความเป็นจริง ส.ว.สีน้ำเงินต้องยอมรับว่าแบ๊กอัพดีมาก หากไม่มี ส.ว.แล้ว จะไม่มีผู้มารองรับกลุ่มอนุรักษนิยม
สุดท้ายแล้วสถานการณ์การเมือง รัฐบาลต้องพยุงตัวให้การพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ผ่านไป หลังจากนั้นอาจเห็นปรากฏการณ์ยุบสภา
ขณะนี้มองได้แค่นี้
ตรีเนตร สาระพงษ์
คณะนิติศาสตร์ ม.อุบลราชธานี
คดีฮั้ว ส.ว.ที่สั่นคลอนพรรค ภท. ที่กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนในทางการเมืองนั้น สะท้อนให้เห็นฉากหน้าทางการเมืองไทยว่าที่ผ่านการเลือกตั้งเข้ามาแล้ว อาจต้องมาต่อสู้กับเกมในอำนาจ ซึ่งปัจจัยโครงสร้างทางการเมือง กฎหมาย กลไกรัฐธรรมนูญ และพฤติกรรมทางการเมืองในบริบทไทย อาจมีคำตอบได้หลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับว่าปัจจัยใดจะส่งผลแรงที่สุดก่อน ดังนี้
1.พรรค ภท.จะถูกยุบหรือไม่ แน่นอนว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นกฎหมายต้องมาก่อนการเมือง หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง และพิจารณาว่าการกระทำของบุคคลใดภายในพรรค เป็นการกระทำที่มุ่งหวังให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยไม่เป็นไปตามวิถีประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นการฮั้ว ส.ว.หรือมีลักษณะการทุจริตการเลือกตั้ง ก็อาจนำไปสู่การยุบพรรค ภท.ได้ อย่างไรก็ตาม การยุบพรรคเป็นมาตรการสูงสุดที่ศาลจะใช้เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าความผิดมีน้ำหนัก และโยงกับพรรคในภาพรวมอันไม่ใช่เหตุเฉพาะตัวบุคคล แน่นอนว่าหากยุบพรรค ภท.บรรดา ส.ส.ของพรรคจะต้องหาพรรคสังกัดใหม่ภายใน 30 วันตามรัฐธรรมนูญ อาจส่งผลให้สมดุลอำนาจในรัฐบาลเปลี่ยนไป โดย ส.ส.อาจกระจัดกระจาย หรือไม่หนุนรัฐบาลต่อ
2.การปรับ ครม.หากแรงกดดันทางการเมืองมากขึ้น การปรับ ครม.เพื่อรักษาเสถียรภาพรัฐบาล นายกรัฐมนตรีอาจใช้กลไกปรับ ครม.เพื่อลดแรงเสียดทาน ซึ่งพรรค ภท.อาจต้องเสียเก้าอี้รัฐมนตรี และถูกลดบทบาท วิธีการนี้ ผลในทางการเมืองอาจใช้กับทางออกแบบถ่วงเวลา เพื่อประคับประคองรัฐบาลต่อไปจนถึงปี 2570 โดยอาจมีปัจจัยการเจรจาต่อรองทางการเมืองมากขึ้นในกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาล
3.ทางเลือกยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ ประเด็นนี้แม้ว่าจะยังห่างจากการเลือกตั้งในปี 2570 ก็ตาม แต่หากเกิดวิกฤตศรัทธารุนแรง หรือพรรคร่วมแตกแยก นายกฯอาจใช้แนวทางยุบสภาได้ตามมาตรา 103 ได้เพื่อเปิดทางให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นทางเลือกที่เสียงของประชาชนจะกลับมาเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ต้องใช้ความกล้าหาญทางการเมืองสูง และคาดการณ์ผลเลือกตั้งอย่างแม่นยำ
และ 4.เหตุการณ์อื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการถอนตัวของพรรค ภท.จากรัฐบาล หากรู้ตัวว่าจะถูกยุบ หรือถูกจำกัดอำนาจ หรือการตั้งรัฐบาลใหม่ โดยไม่ต้องยุบสภา หากจัดตั้งเสียงข้างมากใหม่ในสภา หรือการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาลโดยกลไกรัฐสภา หรืออาจเกิดการเคลื่อนไหวของประชาชน ภาคประชาสังคม หากไม่พอใจในกระบวนการตรวจสอบ หรือไม่ไว้วางใจพรรคการเมือง
หากต้องชั่งน้ำหนักต่อปัจจัยต่างๆ ข้างต้น เชื่อว่าการปรับ ครม.ย่อมมีความเป็นไปได้สูงในสถานการณ์ประคับประคองอำนาจในระบบที่เปราะบางของการเมืองไทย ซึ่งทำได้ทันทีไม่ซับซ้อน ไม่ต้องผ่านศาล หรือกระบวนการรัฐสภาเต็มรูปแบบ เป็นกลไกที่รัฐบาลควบคุมอำนาจได้เอง ต่างกับกลไกอื่น เช่น คำสั่งศาล ซึ่งรัฐบาลควบคุมไม่ได้ และความสัมฤทธิผลที่เด่นชัดคือ การช่วยลดอุณหภูมิทางการเมือง และประคับประคองรัฐบาลต่อไปได้ ส่วนปัจจัยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์อื่น เช่น การถอนตัว หรือเจรจาใหม่ มีความเป็นไปได้ปานกลาง เพราะส่งผลโดยตรงต่อการสูญเสียอำนาจ และกระทบต่อผลประโยชน์
สำหรับการยุบพรรค มีความเป็นไปได้ปานกลาง เพราะยุบหรือไม่ยุบ ยังต้องรอปัจจัยประกอบที่ตามมาหลังจากนี้ คือพยานหลักฐานว่าจะโยงไปที่พรรคโดยตรงว่าสมรู้กันเป็นองค์รวมหรือไม่ ถ้าเป็นความผิดระดับบุคคล จะนำมาเป็นเหตุยุบพรรค ภท.อาจยังไกลเกินไปที่จะเชื่อมโยงว่าเกี่ยวกับองค์รวม ว่าทั้งพรรคร่วมกัน หรือสมคบกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจอันไม่ชอบตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย
ส่วนการยุบสภา น่าจะเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำ เพราะแรงกดดันยังมีไม่มากพอที่จะทำให้รัฐบาลกล้าพอที่จะลงสนามการเลือกตั้ง ซึ่งมีปัจจัยนอกเหนือการควบคุมอยู่เต็มไปหมด อีกทั้งประวัติศาสตร์ และพฤติกรรมทางการเมืองไทย สอนให้รู้ว่านักการเมืองไทยจะประคองอำนาจไว้ให้นานที่สุด จึงมีแนวโน้มที่จะใช้วิธีการอุดปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการปรับ ครม.มากกว่า
อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาผลประโยชน์ไม่ลงตัว หรือพรรค ภท.ไม่ยอมถอย หรือยืดเยื้อ ปล่อยให้เปิดข้อมูลเพิ่มเติมอยู่รายวัน และงานนี้ในเกมการเมืองต้องถือว่า กกต.และดีเอสไอ ไม่ใช่
องค์กรอิสระ หากแต่ถูกมองว่าเป็นเครื่องจักรทำลายล้างในศึกเงียบ จะเป็นแรงผลักให้เกิดการทำลายล้างอันเป็นปลายทางได้ทั้งยุบพรรค การดำเนินคดีรายบุคคล การฟอกเงิน หรือการกระทำอันเป็นอั้งยี่ และปลายทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ทางการเมือง ซึ่งดีเอสไออาจรับเป็นคดีพิเศษ หากพบพฤติการณ์ซับซ้อน กกต.อาจสรุปผลการสอบสวนส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญหากเห็นว่าพรรคมีส่วนร่วมรู้เห็น
และศาลรัฐธรรมนูญอาจยุบพรรคหากเชื่อว่ามีพฤติการณ์ “ได้อำนาจโดยมิชอบด้วยวิถีทางประชาธิปไตย” ตามมาตรา 92 ของรัฐธรรมนูญ เกมอำนาจจะเปลี่ยนมือไป ถูกรีเซตผ่านกลไกศาล หรือสภา ภาพของอำนาจศาลไทยไม่ใช่ฉากจบทางการเมือง แต่เป็นฉากเปลี่ยนอำนาจ เช่นนี้ ภาพการยุบพรรค การดำเนินคดีอาญารายบุคคล และส่งผลต่อดุลอำนาจรัฐบาลเปลี่ยนไป แต่ไม่ใช่ฉากจบรัฐบาล แต่ปลายทางนี้อาจต้องใช้เวลา และความยืดเยื้อ ที่เพียงพอจะทำให้ทุกอย่างพังลงในแบบที่ย้อนกลับไม่ได้
ดูเหมือนว่าพรรค ภท.จะต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ว่าสนามการเมืองไทย ความจริงไม่ใช่สำคัญที่สุด แต่ทางเลือกมีไม่มากนัก ที่จะต้องรีบจบแบบเจ็บๆ บนกระดานเกมเจรจา ที่เน้นผลประโยชน์ที่แปรเปลี่ยนไปตามเวลา เพื่อจัดการกับความจริงจาก กกต.และดีเอสไอที่จะถูกเปิดเผย ก่อนที่จะมีเงาคดีติดตัวตามไปหลอกหลอนการเลือกตั้งครั้งหน้า และประชาชนอาจไม่เลือกกลับเข้ามา เพราะเหตุถูกตราหน้าว่าฮั้วเลือกตั้ง ทำลายระบอบประชาธิปไตย
แน่นอนว่าแม้ผลประโยชน์จะลงตัว แต่นี่อาจไม่ใช่ฉากจบบริบูรณ์ เพราะทุกเรื่องฉาวที่ไม่ถูกสะสาง ย่อมเป็นอารัมภบทสู่ฉากเรื่องถัดไป