วิโรจน์ ชี้ผลคดียิ่งลักษณ์ ทำอำนาจบริหารถูกบั่นทอน ทำรบ.เลือกตั้งไม่กล้าทำนโยบาย 

วิโรจน์ ชี้ผลคดียิ่งลักษณ์ ทำอำนาจบริหารถูกบั่นทอน ทำรบ.เลือกตั้งไม่กล้าทำนโยบาย 

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กกรณีศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ต้องชดใช้ค่าเสียหายส่วนระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เป็นเงิน 10,028 ล้านบาท ว่า

[ สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณยิ่งลักษณ์ เป็นการบั่นทอนอำนาจบริหาร ที่มาจากประชาชน ซึ่งจะเป็นอุปสรรคในการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อประชาชนในอนาคต ]

ต้องยอมรับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะส่งผลต่อการใช้อำนาจบริหารในการขับเคลื่อนนโยบาย และการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนในอนาคตอย่างมาก

หากพิจารณากันให้ดีๆ คุณยิ่งลักษณ์ ทำหน้าที่ของฝ่ายนโยบาย และมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ และกำกับดูแลตามสมควรโดยมิได้เพิกเฉย การทุจริตที่เกิดขึ้น นั้นเกิดขึ้นในระดับการปฏิบัติการ การจะเอาผิดทางกฎหมาย จะต้องเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ และผู้สั่งการให้ปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง

ADVERTISMENT

การโยงเอาผิดมาถึงฝ่ายบริหาร โดยไม่สามารถชี้ถึงเส้นทางการร่วมทุจริต หรือการสมคบกันในการทำทุจริต เป็นการบั่นทอนอำนาจของฝ่ายบริหาร ในระบอบประชาธิปไตยอย่างมาก

การทุจริตในระดับปฏิบัติการ นั้นเกิดขึ้นในทุกกระทรวงทบวงกรม สิ่งที่อธิบายได้ยากมากๆ ก็คือ เหตุใดการทุจริตเหล่านั้น ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง จึงไม่สาวไปเอาผิดกับระดับรัฐมนตรี ในแบบที่คุณยิ่งลักษณ์ประสบ ซึ่งก่อให้เกิดความสงสัยในวงกว้าง ถึงการเลือกปฏิบัติในการบังคับใช้กฎหมาย และความลักลั่นในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งบั่นทอนหลักนิติรัฐอย่างมาก

และหลีกไม่พ้นถึงข้อครหานินทา และข้อสงสัยสงสัยถึงการมีอยู่ของ “ระบบใบสั่ง” ว่าถ้ามีใบสั่งให้ “เอาผิด” อย่างไรก็ต้องเอาผิดให้ได้ ไม่ว่าจะทำลายหลักนิติรัฐให้ย่อยยับลงแค่ไหนก็ตาม ในขณะที่หากมีใบสั่งให้ “ไม่เอาผิด” ต่อให้ผิดโจ่งแจ้งแค่ไหน ก็ต้องพยายามหยิบเอาจุดเล็กจุดน้อย มายกประโยชน์ให้จำเลย ปล่อยผ่านมองข้ามกฎหมายทั้งปวง กลับผิดให้เป็นถูกให้ได้

สิ่งที่น่ากังวลอย่างมาก ต่อกรณีที่เกิดขึ้นกับคุณยิ่งลักษณ์ก็คือ การบั่นทอนอำนาจบริหาร ที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จะไม่กล้าขับเคลื่อนนโยบาย และใช้จ่ายงบประมาณ ในการจัดทำนโยบายที่ยังประโยชน์แก่ประชาชน ตามที่ได้ทำสัญญาประชาคมเอาไว้ ต้องคอยหันรีหันขวาง เช็คสัญญาณจากกลุ่มทุนสามานย์ศักดินา และกลุ่มอำนาจหลังม่าน ว่าจะอนุญาตให้ทำนโยบายนี้ หรือไม่ เพราะถ้าหากไม่ได้รับไฟเขียวให้ทำ ก็อาจจะถูก “ใบสั่ง” ให้เอาผิดในแบบกรณีของคุณยิ่งลักษณ์ก็เป็นได้

ด้วยความกังวล ถึงผลประโยชน์ที่จะตกแก่ประชาชนในอนาคต และการธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจบริหารที่ก่อกำเนิดมาจากระบบรัฐสภา ที่ยึดโยงกับประชาชน ผมจึงมิอาจเห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณยิ่งลักษณ์ ในกรณีนี้ได้