สถานการณ์การเมืองระอุ จับตารัฐบาลฝ่ามรสุม

หมายเหตุ – ความเห็นนักวิชาการถึงสถานการณ์การเมืองร้อน ทั้งเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี คดีชั้น 14 และสถานการณ์ตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา นับจากนี้รัฐบาลจะดำเนินต่อไปอย่างไร

วีระ หวังสัจจะโชค 

อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ถานการณ์ปัจจุบันของรัฐบาล ต้องยอมรับจริงๆ ว่า รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมในหลายๆ ด้าน และยังมีความไม่มั่นใจต่อรัฐบาล ทั้งในประเด็นภายในประเทศและประเด็นระหว่างประเทศ ภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลเผชิญความท้าทายจาก 4 เรื่องพร้อมกัน เรื่องแรก คือความท้าทายจากบทบาทของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่มีต่อรัฐบาลแพทองธารและบทบาทของอดีตในยุคทักษิณ พ่วงปัญหาส่วนตัวของอดีตนายกฯทักษิณเข้ามา กลายเป็นปัญหาของรัฐบาลแพทองธารด้วย อย่างกรณีชั้น 14 และการพิจารณาของศาลมิถุนายนนี้ สภาพปัญหาตรงนี้ ทำให้คนสองคนที่มีความสำคัญต่อการเมืองไทย แต่การทำงานร่วมกันและการเข้ามาโชว์บทบาทของอดีตนายกฯทักษิณในหลายๆ เรื่อง ทำให้ปัญหาของอดีตนายกฯทักษิณไม่สามารถแยกกันได้กับรัฐบาล 

ADVERTISMENT

ความท้าทายที่ 2 ความท้าทายจากความมั่นใจ ท้าทายจากความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลลดลงอย่างมาก กรณีความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ถ้ามองเฉพาะการเมืองภายในประเทศเพียงอย่างเดียว จะพบว่าประชาชนรู้สึกไม่ไว้วางใจและรู้สึกว่ารัฐบาลตอบสนองช้า และการสื่อสารทางการเมืองของรัฐบาลยังทำมาได้ไม่ดีมากนัก แม้ว่ารัฐบาลจะมีแนวทางจัดการอยู่ แต่ด้วยบทบาทของรัฐบาลตอบสนองช้า ทำให้ความมั่นใจของประชาชนน้อยลง และแม้ว่าจะเป็นประเด็นระหว่างประเทศก็ตาม ประเด็นที่มีมาโดยตลอดระหว่างการเมืองไทย อย่างเรื่องไทยกับกัมพูชา มาผนวกกับประเด็นกับความคิดของชาตินิยมในประเทศไทยด้วย ทำให้รัฐบาลดูเหมือนง่อยเปลี้ยเสียขา การทำงานดูช้าไป ทั้งที่ตัวท่านนายกฯเอง แสดงออกเหมือนกันว่าไม่พอใจกับรัฐบาล จากการตอบคำถามของนักข่าว เริ่มมีอารมณ์มากขึ้น บทบาทของรองนายกฯภูมิธรรมยังขาดความชัดเจน ทุกวันนี้ เรายังไม่ทราบเลยว่าจุดปะทะที่ช่องบก เกิดขึ้นตรงไหน เพราะแนวช่องบกมีทางเข้าออกเกือบ 200 ทาง ฉะนั้นความเชื่อมั่นจึงเป็นความท้าทายอย่างยิ่งของรัฐบาลชุดนี้ถ้าไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อได้ ก็จะลามไปถึงเรื่องอื่นด้วย ลามไปถึงเรื่องกาสิโน นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลในอนาคต คนก็จะไม่ไว้วางใจ

ความท้าทายที่ 3 คือ การจัดการของรัฐราชการ หรือบางคนเรียกว่ารัฐพันลึก ไม่ว่าจะเป็นรัฐราชการหรือรัฐพันลึก บทบาทขององค์กร ของหน่วยงานราชการบางหน่วยงาน มีลักษณะของการทำงานและมีปฏิบัติการบางอย่าง ไม่ได้สนับสนุนรัฐบาลเต็มที่นัก เช่น บทบาทของกองทัพต่อกรณีความขัดแย้ง รวมถึงความขัดแย้งของไทยกับกัมพูชา รวมไปถึงองคาพยพต่างๆ ของสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มจัดตั้ง การปั่นข้อมูลของชาตินิยมในโลกออนไลน์ และการเคลื่อนไหวนอกสภา 

ประเด็นเรื่องไทยกัมพูชา ดันไปสนับสนุนให้กับม็อบต้านเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไม่พูดแล้ว แต่มาพูดไทยกัมพูชาแทนเพราะแรงกว่า ทำให้เห็นว่ามีใครบางคนอยู่เบื้องหลัง วางกลไกดังกล่าว กลไกใช้รัฐราชการมาจัดการกับฝ่ายการเมืองรัฐบาลแพทองธาร

ฝ่ายการเมืองแม้จะมีนโยบายอะไรออกมา จะเกิดกลุ่มราชการบางกลุ่ม เกิดกลุ่มก้อนพลังรัฐพันลึกบางกลุ่ม ไม่ทำตามบางครั้ง ทำตรงกันข้าม บางครั้งอาจสร้างสถานการณ์ สั่นคลอนรัฐบาลด้วยซ้ำ พรรคเพื่อไทยต้องจัดการ จะไปคิดว่าข้ามขั้วมาจัดตั้งกับกลุ่มอำนาจเดิมแล้ว จะไม่ถูกรัฐพันลึกแบบนี้เล่นงาน กลุ่มนี้จะยังไม่ไว้วางใจพรรคเพื่อไทยเหมือนเดิม พรรคเพื่อไทยก็จะโดนข้อหาเดียวกับที่เคยโดนในรัฐบาลทักษิณ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คือเรื่องไทยกัมพูชา รัฐบาลแพทองธารก็มาโดนเรื่องนี้อีก ความขัดแย้งช่องบกทำให้เห็นว่ามีคนชักใยประเด็นอยู่ข้างหลัง พรรคเพื่อไทยต้องตีให้แตกว่าทำไมกลุ่มรัฐพันลึกจึงไม่ไว้วางใจพรรคเพื่อไทยมากขนาดนี้

และความท้าทายด้านที่ 4 เกิดจากนักการเมืองฉวยโอกาสช่วงรัฐบาลอ่อนแอ เข้ามาชิงอำนาจต่อรองในพรรคเพื่อไทย ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีกลุ่มของพรรคภูมิใจไทย อีกกลุ่มคือกลุ่มพรรคกล้าธรรม ทั้ง 2 พรรคนี้ใช้โอกาสที่พรรคเพื่อไทยอ่อนแรง สร้างฐานอำนาจและสร้างอำนาจต่อรองขึ้นมา ทั้งสองพรรคนี้ใช้เรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ใช้ประเด็นเรื่องทั้ง ส.ว.สีน้ำเงิน และประเด็นเรื่องไทยกัมพูชา มาสร้างฐานอำนาจทางการเมือง แม้ว่าจะอยู่ในคนละฟากฝั่งกัน พรรคเพื่อไทยอาจคิดว่าพรรคกล้าธรรมเป็นพวกตัวเอง แต่มั่นใจขนาดนั้นได้จริงหรือไม่ ขณะที่พรรครัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทยก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ามีประเด็นกับพรรคเพื่อไทยมาตลอด

ยุทธพร อิสรชัย 

อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

ถานการณ์การเมืองที่ผ่านมา นำไปสู่ประเด็นร้อนทางการเมืองหลายเรื่อง กระแสข่าวปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาทวงคืนกระทรวงมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มองว่าเป็นเรื่องปกติของรัฐบาลผสม ต้องมีเรื่องต่อรองกันอยู่แล้ว การปรับรัฐมนตรีไม่ใช่เพียงแค่เรื่องคณิตศาสตร์ในสภา แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ

โจทย์ของการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ มี 2 เรื่องใหญ่ 1.การปรับรัฐมนตรีเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจระยะสั้น เป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาล หากเศรษฐกิจไม่ดีรัฐบาลก็เดินต่อยาก การเมืองก็ไม่มีเสถียรภาพ 2.การปรับรัฐมนตรีเพื่อเตรียมเลือกตั้งครั้งหน้า ทั้ง 2 ข้อจึงนำมาซึ่งการทวงคืนกระทรวงมหาดไทย และการทวงคืนกระทรวงทางด้านเศรษฐกิจ 

ทุกวันนี้กระทรวงเศรษฐกิจอยู่กระจัดกระจาย พรรคเพื่อไทยแม้จะเป็นแกนนำ แต่ท้ายที่สุดแล้วจะเห็นได้ว่า กระทรวงเศรษฐกิจไม่ได้อยู่พรรคเพื่อไทยทั้งหมด อยู่เพียงกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ ส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อยู่กับพรรคกล้าธรรม กระทรวงพลังงาน อยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ กระทรวงแรงงานอยู่กับพรรคภูมิใจไทย และกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นต้น 

สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การขับเคลื่อนนโยบายไม่สามารถทำงานแบบบูรณาการกันได้ รวมไปถึงนโยบายสำคัญหลายเรื่อง เหล่าพรรคร่วมรัฐบาลก็อาจไม่ได้เห็นตรงกันเช่นเรื่อง เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เป็นต้น 

ปมประเด็นร้อนต่อมา แพทยสภานัดลงมติกรณีการวีโต้ของ รมว.สาธารณสุข วันที่ 12 มิถุนายนนี้ เป็นเรื่องการเมืองระหว่างแพทยสภาและรัฐบาล เพราะแม้จะบอกว่าเป็นความเห็นของ สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข แต่นั่นคือภาพเกี่ยวข้องกับรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องกับชั้น 14 บุคคลถูกจับจ้องมากที่สุดคือ ทักษิณ
ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จึงเสมือนเป็นสงครามตัวแทน อย่างไรก็ดีโอกาสจะกลับมาหาตัวนายทักษิณเป็นเรื่องยาก เพราะนายทักษิณออกมาอยู่โรงพยาบาลตำรวจ มีคนเกี่ยวข้อง 2 ส่วน คือ บุคลากรกรมราชทัณฑ์ และบุคลากรทางแพทย์ 

ส่วนแพทยสภาจะเกี่ยวกับบุคลากรทางการแพทย์ ในแง่ของสภาวิชาชีพก็พิจารณาในมุมการดูมาตรฐานการดูแลรักษาว่า เป็นเหตุจำเป็นฉุกเฉินหรือไม่ ฝั่งของ รมว.สาธารณสุขอาจมองว่ากระบวนการดำเนินการต่างๆ ได้ทำตามมาตรฐานของวิชาชีพแล้ว ฉะนั้นมองตรงนี้ยังไงก็ไปไม่ถึงตัวนายทักษิณ

แม้กระทั่งบุคลากรกรมราชทัณฑ์ หากไม่มีหลักฐานอะไรชี้ว่านายทักษิณหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องใช้อำนาจรัฐต่างๆ ไปเชื่อมโยงนายทักษิณว่ามีการสั่งให้ออกมาอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ ก็ยังไม่ถึงตัวนายทักษิณเหมือนกัน 

เพราะฉะนั้นเรื่องนี้อาจกลายเป็นสงครามตัวแทนมุ่งเป้าไปสู่แพทย์ทั้ง 3 คน หรืออนาคตอาจรวมไปถึงบุคลากรกรมราชทัณฑ์ด้วย ภาพวันนี้ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องการแพทย์แล้ว แต่ไปสู่การเรียกร้องให้ขับไล่รัฐบาล สิ่งสำคัญก็คือเราต้องแยกประเด็น ถ้านำทุกอย่างมารวมกันหมด ท้ายที่สุดแล้วหลักการในบ้านเมืองจะกระทบกระเทือน รวมถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งของประเทศไทยและกัมพูชาในปัจจุบัน

ประเด็นร้อนกรณีของข้อพิพาทชายแดน ความขัดแย้งของไทยและกัมพูชา ต้องแยกเป็น 3 ส่วน 1.การเมืองระหว่างประเทศ แน่นอนว่ามีความเสียเปรียบกัมพูชาในแง่ของกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะมีหลายกรณีในอดีต ทั้งปราสาทเขาพระวิหาร ในแง่กฎหมายระหว่างประเทศ แง่ของแผนที่ หลักฐานทางสนธิสัญญา แง่จดหมายเหตุ 

ต้องใช้มาตรการหลายอย่าง เช่น กลไกการเจรจา MOU43 เป็นเครื่องมือสำคัญ ใช้กลไกสงครามเศรษฐกิจ ปิดด่าน ใช้กลไกมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐหรือจีน ใช้กลไกอาเซียนแก้ปัญหา จำเป็นต้องใช้กลไกข้างต้นเป็นกฎเกณฑ์การเมืองระหว่างประเทศในการบีบ

2.การเมืองภายในประเทศทั้ง 2 ประเทศ กัมพูชาใช้เครื่องมือด้านชาตินิยมทุกครั้งที่มีเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลง ไทยวันนี้ยังมีคนบางกลุ่มพยายามใช้เรื่องของชาตินิยม พยายามสร้างให้เกิดผลประโยชน์ทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการล้มรัฐบาล 

รัฐบาลเองต้องมีบทบาทเชิงรุกมากขึ้น ทั้งเชิงรุกการเมืองระหว่างประเทศหรือเชิงรุกทางด้านการสื่อสาร รวมไปถึงบทบาทของนายกรัฐมนตรีแสดงความชัดเจนมากขึ้น เป็นสิ่งที่ทำได้ในการใช้วอร์รูมสื่อสาร หรือกระบวนการสื่อสารทางการเมืองในภาวะวิกฤต

และ 3.บทบาทของกองทัพและทหาร วันนี้มีภาพและคลิปโปรโมตต่างๆ ออกมา เป็นปฏิบัติการสงครามเชิงจิตวิทยาข่าวสาร แต่หลักการสำคัญประการหนึ่งคือ กองทัพทหารต้องรับผิดชอบต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ต้องอยู่ภายใต้ของการกำกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพราะไม่เช่นนั้นสถานการณ์เช่นนี้ จะเป็นการปูทางไปสู่การสร้างความชอบธรรมให้กับการรัฐประหาร 

ฉะนั้นกองทัพต้องมีความชัดเจนในจุดยืนนี้รัฐบาลก็ต้องชัดเจนในการปรับจุดยืนตรงนี้เหมือนกัน เพราะสุดท้ายทุกอย่างต้องเป็นไปตามครรลองของประชาธิปไตยในการแก้ไขปัญหาและผ่านวิกฤตไปได้