ผู้เขียน | ชโลทร |
---|
⦁…หากทบทวนในฐานะ “ผู้นำประเทศ” ที่ปรารถนาให้ประเทศกัมพูชาพัฒนา และประชาชนเขมรอยู่ดีมีสุข ทั้ง ฮุน เซน และ ฮุน มาเนต ที่จะไปอยากได้ “พื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา” ถึงขนาดต้อง “ทำสงคราม” ให้ประชาชนชายแดน 2 ประเทศที่ไปมาหาสู่เป็นญาติสนิทมิตรสหาย ใช้ชีวิตปกติร่วมกันในทุกมิติ แทบจะเป็นชนชาติเดียวกัน การช่วงชิงพื้นที่น้อยนิดเช่นนั้นมัน “หน่อมแน้ม” เกินไป สำหรับโลกยุคใหม่ที่การค้าการลงทุน จัดสรรทรัพยากรด้วยกติกา “ข้ามชาติ”การเข้าครอบครองที่ดินและทรัพย์สมบัติของประเทศ เลยห่างจากการใช้กำลังเข้าควบคุมไปนานแล้ว ในระอุของ “ความรักชาติ” ตั้งสติกันหน่อยไหม เพื่อไตร่ตรองว่า “ความต้องการที่แท้” ฮุน เซน กับ ฮุน มาเนต ที่แสดงท่าทียั่วยุให้ “ไทยใช้ความรุนแรง” คืออะไร และมีประโยชน์อะไรที่จะทำตาม
⦁…ว่าไปก็น่าจะถูกแล้ว ที่ ทักษิณ ชินวัตร และ แพทองธาร ชินวัตร กับ “ภาวะผู้นำไทย” จะไม่กระโดดโลดเต้นไปตามเกมที่ถูกยั่วยุ เพียงแต่ว่าเพราะ “สถานการณ์การเมืองภายใน” อ่อนแอหนัก ก่อความขัดแย้งไปทุกระดับ และ “พรรคแกนนำรัฐบาล” อย่าง “เพื่อไทย” ดูจะควบคุมไม่ได้ไปทุกระดับ ตั้งแต่ “งานมวลชน” จนถึงความเกรงอกเกรงใจจาก “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่หนักหนากว่าอื่นใด คือ “กลุ่มก้อนทางการเมืองที่ฝากโอกาสในการเข้ามามีบทบาทไว้กับรัฐบาลทหาร” เพราะคนพวกนี้ไม่มีปัญญาที่จะทำให้ตัวเอง “ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน” อะไรที่สร้างเงื่อนไขให้ “ทหารยึดอำนาจ” เป็นโดดเข้ากระพือกระแส เพียงแต่ดูเหมือนว่า “ทหารยุคนี้” สร่างซาจากความคิด “รัฐประหาร” ไปมาก
⦁…ยิ่งนับวันยิ่งเห็นว่ามีหนทางเดียวที่จะทำให้ประเทศสงบ เพื่อก่อการพัฒนาไปในทิศทางที่ควรจะเป็นได้ ทักษิณ และ แพทองธาร ที่ความเชื่อมั่นในอำนาจเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว จะต้อง “กล้าหาญ” มากกว่านี้ ในการนำให้ “เพื่อไทย” เป็น “พรรคแกนนำ” ที่ “พรรคร่วม” จะต้องฟัง ต้องเป็น “ความกล้าหาญโดยมั่นคงกับเป้าหมาย ทำให้ประชาชนทั้งประเทศมีโอกาสอยู่ดีกินดีอย่างเท่าเทียมเป็นธรรม” หยุดการวางเกมทางการเมืองเพื่อ “ผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง” ให้ได้ “ปรับ ครม.” ซึ่งสถานการณ์บังคับให้ต้องทำแล้วนี้จะพิสูจน์ “ความกล้าหาญ” เหมือนที่แสดงให้เห็นว่า “มั่นใจในอำนาจ” จริงหรือไม่ หากยัง “ปากกล้า ขาสั่น” หนีไม่พ้นต้องอยู่อย่าง “ทุลักทุเล” ต่อไป
⦁…วาระของรัฐบาลนี้เหลืออีกปีกว่า หาก ทักษิณ ชินวัตร ยังเน้นทุกเวทีที่ขึ้นแสดงตัวว่า เป็นการทำงานเพื่อ “ผลเลือกตั้งปี 2570” ขณะ แพทองธาร ยังพิสูจน์ในฝีมือการสร้างผลงานแก้ปัญหาให้ประชาชนไม่ได้ เป้าหมายทางการเมืองของทุกพรรคจะมุ่งไปที่การหาเสียง สร้างฐานเพื่อเป็น “รัฐบาลชุดต่อไป” ไม่มีใครที่เน้นหนักแก้ปัญหาที่ประชาชนเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ท่ามกลางเสียงร่ำร้องให้ขรม ถึงความเดือดร้อนในการทำมาหากินไปทุกหย่อมย่าน “ศรัทธาต่อนักการเมือง” จะร่อยหรอ เปิดโอกาสให้พวก “หวังวาสนาจากอำนาจนิยม” ปลุกกระแสกระทืบซ้ำ จนน่าเป็นห่วง
⦁…ช่วงนี้มีคนหนึ่งที่ทำงานหนัก สัญญา สถิรบุตร นักการเมืองหน้าเก่า ซึ่งคงทนไม่ไหวที่เห็นความเละตุ้มเป๊ะของ “อำนาจอธิปไตย” ซึ่งเป็น 3 เสาหลักของ “ประชาธิปไตย” คือ “บริหาร-นิติบัญญัติ-ตุลาการ” ทำแสดงบทบาทคร่อมกันไปคร่อมกันมา เหมือนต่างฝ่ายต่างมุ่งแสดงความสำคัญของตัวเอง กระทั่งทิ้งหลักการว่า “ทั้ง 3 อำนาจมีไว้เพื่อคาน และส่งเสริมกัน” เพื่อประสิทธิภาพสมบูรณ์ในการบริหารจัดการประเทศ สัญญา สถิรบุตร จึงเดินสายยื่นหนังสือถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้หันกลับมาใส่ใจเรื่องนี้ แม้จะเป็นภารกิจที่เรียกให้ผู้คนกลับมามองได้ยาก แต่หากใครที่ใส่ใจสักหน่อยจะรู้ว่า เรื่องนี้ควรจะเป็น “วาระสำคัญของชาติ”
⦁…รายละเอียดที่น่าสนใจคือ “พัฒนาการของอำนาจตุลาการ” ที่ถูกขยายมาสถาปนาเป็น “องค์กรอิสระ” ที่มี “อำนาจล้นเหลือ” กระทั่งถูกมองว่าเป็น “อาวุธทางการเมือง” ก่อความกังขามากมาย ประเด็น สัญญา สถิรบุตร กล้าหาญที่จะชี้ให้เห็นชัดๆ ใครที่คิดว่า “การแก้รัฐธรรมนูญ” เพื่อสะสาง “โครงสร้างอำนาจ” เสียใหม่ เป็นเรื่องไม่จำเป็น น่าจะลองหาอ่านดู เผื่อ “จะช่วยกันทำให้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น” ได้บ้าง





