อาจารย์มธ. ชี้แนวคิด 2 พ่อลูกตระกูลฮุน ปลุกชาตินิยมอันตราย หวังเคลมอาณาเขต แนะรบ.ทำให้โลกเห็น-โต้ทุกมิติ  

“ดุลยภาค” อาจารย์มธ. ชี้แนวคิด 2 พ่อลูกตระกูลฮุน ตกขอบโลก ก่อให้เกิดสงคราม ปลุกชาตินิยมอันตราย หวังเคลมอาณาเขต แนะรบ.ทำให้โลกเห็น-โต้ทุกมิติ  

เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา จัดกิจกรรมเสวนาในหัวข้อ “การถกแถลงเพื่อรักษาแผ่นดินไทย : เราจะรักษาแผ่นดินไทยอย่างไร” โดยเชิญวิทยากร 4 คน ได้แก่ นายวีพันธุ์ มาไลยพันธุ์ อดีตคณบดีคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้เชี่ยวชาญด้านปราสาทต่างๆ นายคำนณ สิทธิสมาน อดีตส.ว. นายดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเชียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ นายวันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต มาร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นถึงทางออกของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

นายดุลยภาค กล่าวถึงพฤติกรรมของกัมพูชาว่า กัมพูชาเตรียมการมานาน ใช้ยุทธศาสตร์หลายขาในการกดดันประเทศไทยหลายมิติ เขาเตรียมการมาอย่างดีในเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ การเคลมมรดกทางวัฒนธรรม หรือการใช้การเมืองภายในประเทศมาสัมพันธ์กับการเมืองระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความได้เปรียบในระบอบฮุน มาเนต หรือความได้เปรียบของกัมพูชาโดยรวม ซึ่งเป้าหมายสูงสุดคือทำทุกวิถีทางเพื่อให้รัฐกัมพูชามีอาณาเขตเพิ่ม ซึ่งตนคิดว่าเป็นยอดความปรารถนาอันสุดๆของกัมพูชา

นายดุลยภาค กล่าวว่า เมื่อมาดูวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ เล่ห์กล ลักษณะนโยบายต่างประเทศ ท่าทีระหว่างประเทศของกัมพูชา มาประกอบกัน ตนคิดว่าสิ่งที่ประเทศไทยและสังคมโลกจะต้องเห็น คือพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องตามจริยธรรมของกัมพูชา โดยในวันที่ 29 พฤษภาคม ฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊ค ว่า “กัมพูชาขอสงวนสิทธิ์ในการปกป้องอัตลักษณ์อาณาเขต และสามารถใช้กองกำลังเข้าไปพิทักษ์อัตลักษณ์เชิงพื้นที่ของกัมพูชาด้วย” ตนคิดว่า คำนี้เป็นดาบสองคมและเป็นอันตรายต่อมวลมนุษยชาติ คำว่า “อัตลักษณ์เชิงอาณาเขต” หมายถึงการขยายอาณาเขตโดยการเอาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมใส่เข้าไป คือชุมชนสังคมใดสังคมหนึ่ง ถ้ารู้สึกว่า มีดินแดนหนึ่งน่าจะเป็นของเขา จะใส่อารมณ์ความรู้สึก ใส่อัตลักษณ์ที่คิดว่า เป็นของเขาเข้าไปผูกติดพันธนาการกับพื้นที่เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของในดินแดน ดังนั้นปฏิบัติการของกัมพูชามีการเตรียมการมาเป็นอย่างดี และความเข้มข้นของอัตลักษณ์อาณาเขตรุนแรงมาก

“ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กระแสการพูดถึงเครมโบเดีย การที่คนเขมรอ้างมรดกทางวัฒนธรรม เป็นของตนเองจากฝ่ายเดียว ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องเขตแดนอย่างเดียวแต่เข้าไปบงการในเรือนร่างของมนุษย์ เช่นคนไทยใส่ชุดไทยหรือเล่นโขน คนเขมรก็จะบอกทันทีว่าเป็นของเขมร ประเทศไทยขโมยมรดกทางวัฒนธรรมของเขมรไปใช่หรือไม่ นี่เป็นการจู่โจมที่เข้าถึงเรือนร่างของมนุษย์ ซึ่งเรื่องนี้อันตราย ขณะเดียวกันก็ใช้การอ้างเขตแดนด้วย ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ปรากฏอยู่ในเฟซบุ๊กของฮุน มาเนต ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสันติภาพ เพราะแนวคิดอัตลักษณ์เชิงอาณาเขตมีข้อดีคือประชาชนในชาติที่อ้างสิทธิ์เหล่านี้จะมีความสามัคคีมากขึ้น กัมพูชาได้ประโยชน์กับชาตินิยมประเภทนี้มาก แต่ข้อเสียคือ นำไปสู่ความเกลียดชังในหมู่ชนชาติต่างๆ เป็นมูลเชื้อที่จะทำให้เกิดลัทธิเกลียดชังระแวงชาวต่างชาติ และทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ”อาจารย์ด้านเอเชียตะวันออกเชียงใต้ศึกษา มธ.กล่าว

ADVERTISMENT

นายดุลยภาค กล่าวต่อว่า ดังนั้น สังคมไทยหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะหยิบสิ่งที่ฮุน มาเนต พูดในเรื่องของอัตลักษณ์ เชิงอาณาเขต แล้วชี้แจงว่าแนวคิดแบบนี้ ไม่เป็นผลดีต่อการบูรณาการอาเซียนหรือขัดต่อหลักการอยู่ร่วมกันโดยสันติของเพื่อนบ้าน และถ้าคนกัมพูชายังคิดที่จะเคลมอาณาเขต โดยใช้วัฒนธรรมเป็นเกณฑ์ ตนคิดว่า สุ่มเสี่ยงที่จะกระตุ้น ทำให้เกิดชาตินิยมแบบขวาของประเทศที่ถูกกัมพูชาโจมตี เราต้องโน้มน้าวอาเซียน ให้เห็นอันตรายตรงนี้ แต่ก็ต้องเตือนด้วยว่า ถ้าไม่มีกลไกเข้ามาแก้ไขประเทศที่ถูกคุกคามด้วยลัทธิแบบนี้ก็จะต้องมีการโต้คืนหรือชิงดินแดนกลับ เป็นชาตินิยมอีกแบบเพื่อตอบโต้กัมพูชา และแม้ฮุน เซน จะได้รับรางวัล ได้รับการยกย่องในการสร้างความปรองดองสำหรับกัมพูชา

แต่ถ้าพิจารณาความเป็นจริงทุกครั้งที่เกิดปัญหาบริเวณเขตแดนแล้วมีความตึงเครียดระหว่างประเทศ ฮุน เซน จะออกโรงมาอย่างชัดเจน และไม่ได้มีความอดทนอดกลั้นให้เห็นว่า เคารพสันติภาพ แต่ใช้เกมยั่วยุ และมีการนำชาตินิยมที่มองเพื่อนบ้านเป็นศัตรู ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างไทยกัมพูชา มาเป็นผลดีต่อคะแนนนิยมของระบอบตนเอง ฉะนั้น จึงขอตั้งคำถามว่า การกระทำแบบนี้คู่ควรกับรางวัลที่เขาได้มาหรือไม่ หรืออาจจะคู่ควรแค่ภายในประเทศเขาอย่างเดียว

นายดุลยภาค กล่าวว่า ทั้งนี้ในกลไกของอาเซียน มีกลไกที่จะยับยั้งความขัดแย้งได้โดยไม่ต้องเร่งรัดไปถึงศาลโลก หรือระหว่างประเทศที่อยู่นอกอาเซียนได้ ซึ่งระบุไว้เลยว่าประเทศต่างๆจะต้องแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี และแก้ไขข้อพิพาทโดยสันติวิธี แต่สิ่งที่กัมพูชาทำคือให้น้ำหนักเบากับอาเซียน และไปสู่ศาลโลกเลยหรือไปหาฝรั่งเศส ดังนั้น ประเทศไทยน่าจะลากกัมพูชามาพูดกันก่อนว่า MOU 43 ที่กัมพูชาเข้าไปขุดคูเลต และฝังกลบเรียบร้อยแล้ว การพูดคุยใน JBC หรือในเวทีอื่นเพื่อวางการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าทางทหารและเคารพกรอบ MOU 43 ซึ่งภาพที่กัมพูชาเข้าไปขุดคูเลตและฝังกลบเป็นภาพฟ้องอยู่แล้ว ว่ากัมพูชามีอะไรบางอย่างที่ละเมิดหลักข้อตกลง

นายดุลยภาค ยังแนะนำว่า ให้นำเรื่องของ อัตลักษณ์เชิงอาณาเขต เข้าไปพูดคุยในชุมชนระหว่างประเทศและประณามกัมพูชาว่า คิดแบบนี้อันตรายเพราะในโลกทุกวันนี้ไม่มีประเทศไหนคิดแบบนี้กันแล้ว ทำให้เห็นว่ากัมพูชากำลังตกขอบโลก ในมุมคิดของระเบียบสากล และถ้ามุ่งกดดันประเทศกัมพูชาโดยรวมอย่างเดียวก็ต้องเป็นตามครรลอง แต่อยากให้แยกระบอบการเมืองหรือผู้นำกัมพูชาให้ออกมาจากประชาชนกัมพูชาด้วย ซึ่งการแยกแบบนี้จะทำให้เห็นพฤติกรรมของฮุน เซน และฮุน มาเน็ตอย่างชัดเจน อย่างน้อย 2 คนนี้ขาดความอดทนอดกลั้นที่จะแก้ปัญหากับไทยด้วยสันติวิธี แต่มีการยั่วยุผ่านเฟซบุ๊กอยู่ตลอด

”ขอฝากรัฐบาล วุฒิสภา หรือรัฐสภา ว่าเราจะต้องร่วมมือกันตอบโต้กัมพูชาเท่าที่ทรัพยากรและความตั้งใจของเราที่มีอยู่ เพราะโจทก์ทุกวันนี้คือกัมพูชาใช้ยุทธศาสตร์กดดันไทยในหลายมิติ แนวรบการต่อสู้ไม่ใช่สถานที่เพียงอย่างเดียว แต่คือการปฏิบัติการทางวัฒนธรรม การช่วงชิงความหมายเชิงสัญลักษณ์ความเป็นชาตินิยมที่เข้มข้นเกินไปของกัมพูชา อย่างวุฒิสภาไทยก็จะต้องมีวุฒิสภาการทูตที่จะตอบโต้กับวุฒิสภาของกัมพูชาด้วย เพื่อให้ต่างประเทศเข้าใจและทบทวนพฤติกรรมของกัมพูชา แต่เหนือสิ่งอื่นใดรัฐบาลควรต้องมีคณะกรรมการเฉพาะกิจว่าด้วยการวางยุทธศาสตร์ไทยกับกัมพูชาได้แล้ว และแยกเป็นหลายด้าน” นายดุลยภาพ กล่าว