รบ.อิ๊งค์ฝ่าวาระร้อน ม็อบเขย่า-ฮุนเซนรุก ลุ้นคดี-สารพัดคำร้อง

รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เผชิญกับวาระร้อนทางการเมืองในห้วงปลายเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ทั้งการเมืองภายในประเทศและการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะคลิปเสียงการสนทนากับ สมเด็จฯฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา

ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ มีการพูดคุยพาดพิงถึงการทำหน้าที่ของแม่ทัพภาคที่ 2 จนนำมาสู่การเคลื่อนไหวทางการเมืองภายในประเทศ ทั้งการนัดชุมนุมใหญ่ของ “คณะรวมพลังปกป้องอธิปไตย” ที่เป็นการรวมกลุ่มกันของกลุ่มการเมือง อาทิ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อดีตกลุ่ม กปปส. อดีตกลุ่ม นปช. รวมทั้งกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่นัดมวลชนร่วมชุมนุมกันวันที่ 28 มิถุนายนนี้ ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ พร้อมกับข้อเรียกร้องให้ น.ส.แพทองธารลาออกจากตำแหน่งนายกฯ เพื่อแสดงความรับผิดชอบในกรณีคลิปสนทนากับ สมเด็จฯฮุน เซน ซึ่งต้องจับตาว่าการนัดชุมนุมของม็อบสารพัดสี จะมีเงื่อนไขที่สุกงอมจุดติด สร้างกระแสให้เกิดการชุมนุมระยะยาว เขย่าเก้าอี้นายกฯให้ยอมลาออกตามข้อเรียกร้องได้หรือไม่

นอกจากนี้รัฐบาลแพทองธาร ยังต้องตั้งรับการรุกทางการเมืองระหว่างประเทศของ สมเด็จฯฮุน เซน ที่โพสต์เฟซบุ๊กหวังสั่นคลอนเสถียรภาพการเมืองของรัฐบาลแพทองธาร ทั้งการให้ข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนตัวนายกฯของไทยภายใน 3 เดือน รวมทั้งการออกมาเผยแพร่เบื้องหลังการสนทนากับ น.ส.แพทองธาร วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ นายกฯ ในฐานะผู้นำของไทยที่ไม่เป็นมืออาชีพ รวมทั้งมีการเปิดเผยว่ามีส่วนช่วยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ออกจากประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีการขู่ด้วยว่าจะเผยแพร่คลิปสนทนากับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ บิดาของ น.ส.แพทองธาร ที่มีการพูดคุยกันถึงสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทยในหลายเรื่องด้วย การชิงความได้เปรียบของ สมเด็จฯฮุน เซน ต่อรัฐบาลแพทองธาร ผ่านปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารที่อดีตผู้นำกัมพูชามั่นใจว่ากุมความลับและข้อมูลของอดีตนายกฯ และคนในตระกูลชินวัตรไว้ อยู่ที่ว่าจะเลือกปล่อยข้อมูลในประเด็นใดออกมาสู่สาธารณะ เพื่อสั่นคลอนเสถียรภาพของรัฐบาลไทย และสร้างความได้เปรียบในทางการเมืองให้กับกัมพูชา

โดยรัฐบาลแพทองธารจะต้องพลิกจากการตั้งรับมาสู่การรุกกลับทางการเมือง ผ่านบทบาทและกลไกของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ต้องเพิ่มบทบาทการทำหน้าที่เชิงรุก สร้างอำนาจการต่อรองทางการเมืองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น

ขณะที่นายกฯอิ๊งค์ยังต้องเผชิญกับการตรวจสอบผ่านกลไกของกระบวนการยุติธรรม ที่มีสารพัดคำร้องจากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฯฮุน เซน ถูกยื่นให้องค์กรอิสระ ทั้งสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติการเป็นนายกฯ และประเด็นกระทำฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่

ADVERTISMENT

โดยมีไทม์ไลน์การพิจารณาคำร้องที่ยังต้องลุ้นกับการพิจารณาของที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ ที่มีวาระปรึกษาหารือคดี ซึ่งมีคำร้องที่อาจส่งผลต่อการทำหน้าที่นายกฯของ น.ส.แพทองธาร

กรณี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ยื่นคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 36 คนขอให้พิจารณา วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 ว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทำฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฯฮุน เซน เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

โดยแนวทางการพิจารณาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกได้เป็น 3 แนวทาง คือ แนวทางที่ 1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง ซึ่งนายกฯสามารถเดินหน้าบริหารประเทศได้ต่อไป แนวทางที่ 2.ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง แต่ไม่สั่งให้นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งนายกฯจะต้องส่งคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญตามกรอบภายใน 15 วัน และต้องเข้าสู่กระบวนการไต่สวนคดีจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะนัดฟังคำวินิจฉัย และแนวทางที่ 3 ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องและมีคำสั่งให้นายกฯหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งนายกฯจะต้องส่งคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญตามกรอบภายใน 15 วัน และต้องเข้าสู่กระบวนการไต่สวนพิจารณาคดีจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะนัดฟังคำวินิจฉัย ย่อมจะส่งผลให้นายกฯไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยต้องให้รองนายกฯ ลำดับที่ 1 ขึ้นมาทำหน้าที่รักษาการนายกฯแทน และอาจส่งผลต่อการบริหารประเทศในห้วงดังกล่าวได้เช่นกัน

หากเทียบเคียงกับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องวินิจฉัยคุณสมบัติการเป็นนายกฯของเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ในกรณีการแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรอบเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาจนถึงมีคำวินิจฉัยจะใช้เวลากว่า 2 เดือน

การเมืองภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ นับจากนี้นอกจากจะต้องนำพารัฐนาวาฝ่าวาระร้อนดังกล่าวไปให้ได้แล้ว วาระสำคัญที่นายกฯ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ จะต้องเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนเดินหน้าแก้ปัญหาเร่งด่วน สร้างผลงานให้ประชาชนจับต้องให้ได้มากที่สุด