ย้อนที่มา 20 โบราณวัตถุ หลังอิ๊งค์สั่งเบรก ทำไมรบ.ก่อนๆ ถึงมีมติส่งคืนกัมพูชา
20 โบราณวัตถุ – จากรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม สั่งทบทวนการส่งคืนโบราณวัตถุ จำนวน 20 ชิ้น ให้กับกัมพูชา เนื่องจากการจัดสรรงบประมาณของกรมศิลปากรไม่เพียงพอในการขนส่ง และไม่เป็นเรื่องเร่งด่วนในการของบกลาง รวมทั้งสถานการณ์ไทย-กัมพูชาด้วยนั้น
ล่าสุด 5 กรกฎาคม 2568 นายพายุ เนื่องจำนงค์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีกรณีข่าวการส่งคืนโบราณวัตถุ 20 รายการให้กัมพูชาว่า เรื่องนี้ถูกคนบางกลุ่มนำมาบิดเบือนอย่างจงใจกล่าวหาว่า รัฐบาลแพทองธาร “ขายชาติ ยกสมบัติให้ต่างประเทศ” ทั้งที่ข้อเท็จจริงทั้งหมดชัดเจนและได้มีมติ ครม. สืบเนื่องมาตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้านี้แล้ว
คำถามคือ – กลุ่มคนที่กล่าวหานี้ทราบข้อเท็จจริงหรือไม่? หรือรู้แต่จงใจบิดเบือนเพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง? เพราะข้อเท็จจริงกรณีนี้มีดังนี้
1.โบราณวัตถุเหล่านี้ไม่เคยเป็นสมบัติของประเทศไทยตั้งแต่ต้น
2.ถูกกรมศุลกากรยึดไว้เมื่อปี 2543 ขณะถูกลักลอบนำเข้าจากสิงคโปร์โดยผิดกฎหมาย
3.กรมศิลปากรตรวจสอบหลายครั้ง ก่อนที่กัมพูชาจะส่งหลักฐานยืนยันกรรมสิทธิ์อย่างเป็นทางการในปี 2567
4.รัฐบาลไทยจึงดำเนินการตามหลักฐาน ข้อกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศ
ในระดับสากล การคืนโบราณวัตถุเช่นนี้ถือเป็น “มาตรฐานของประเทศที่เจริญแล้ว” เพราะสะท้อนความรับผิดชอบในฐานะ “รัฐภาคีที่สุจริต” ภายใต้กรอบของ UNESCO และความตกลงทวิภาคี ไทย-กัมพูชา ซึ่งมีผลผูกพันทางกฎหมาย ไม่ใช่อคติทางการเมือง
รัฐบาลไทยไม่ได้ “ยกให้” แต่ “คืนของที่ไม่ใช่ของเรา” ตามกระบวนการที่ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอนและที่สำคัญทั้งหมดเกิดก่อนที่ท่านนายกฯแพทองธารจะมาเป็น รมว.กระทรวงวัฒนธรรมด้วยซ้ำไป (ท่านเพิ่งเข้ากระทรวงวันนี้เป็นวันแรก) การนำรูปท่านมาประกอบพาดหัวข่าวเช่นนี้เหมือนมีเจตนาสร้างความเข้าใจผิด
ยิ่งไปกว่านั้นการกระทำของรัฐบาลยังเป็นหลักฐานชัดเจนว่า..
– ประเทศไทยไม่สนับสนุนการลักลอบขนย้ายและค้าทรัพย์สินทางวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็นของชาติใด
– ประเทศไทยยึดหลักนิติธรรมไม่ใช่ปลุกกระแสโหนชาตินิยมบิดเบือนความเป็นจริงเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้าม
ใครก็ตามที่ยังพยายามบิดเบือนและป้ายสีว่า “รัฐบาลยกสมบัติชาติให้เขมร” ก็เท่ากับว่าบุคคลเหล่านั้นกำลังดูถูกสติปัญญาของประชาชน และกำลังลดเกียรติภูมิของประเทศไทยในสายตาประชาคมโลก รัฐบาลนี้ไม่โหนความชาตินิยมราคาถูกเพื่อเอาตัวรอด
แต่เลือกที่จะยืนหยัดบนหลักฐานกฎหมาย และความสุจริตที่ตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน เพราะการรักษาเกียรติของประเทศไม่ใช่การยึดของคนอื่นไว้ด้วยความเงียบงัน (เช่น บางประเทศที่ได้ไปทำการยึดมาเองในสมัยล่าอาณานิคม) แต่คือการกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ท่ามกลางเสียงที่พยายามบิดเบือนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการนำมาโจมตีครับ”
ทั้งนี้ สำหรับ 20 รายการดังกล่าว ถือเป็นล็อตเดียวกับ 43 รายการเมื่อปี 2543 ที่กรมศุลกากร ตรวจยึดได้จากลักลอบนำเข้าจากสิงคโปร์
ตามข้อมูลภายหลังที่ รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ได้มีมติครม.ส่งคืนล็อตสุดท้ายเมื่อปี 2568 โดย นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เปิดเผยว่า ภายหลังกรมศุลกากรได้ตรวจยึดวัตถุโบราณ 43 รายการดังล่าว กรมศิลปากรได้มีการตรวจสอบและมอบโบราณวัตถุคืนให้กัมพูชา ตามมติ ครม. เมื่อปี 2552 และ ปี 2558) แล้ว จำนวน 23 รายการ คงเหลือโบราณวัตถุอีก 20 รายการ
จากนั้น กรมศิลปากรได้ตรวจสอบแล้ว ไม่สามารถยืนยันได้ว่า เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่มีถิ่นกำเนิดในกัมพูชาหรือไม่ เนื่องจากโบราณวัตถุทั้ง 20 รายการ เป็นโบราณวัตถุที่สามารถพบได้ในโบราณสถานทั้งในประเทศไทยและกัมพูชา
ทำให้ครม.มีมติเมื่อ ปี 2558 ให้กรมศิลปากรแจ้งผลการตรวจสอบดังกล่าวให้รัฐบาลกัมพูชาทราบ โดยหากรัฐบาลกัมพูชาประสงค์จะขอรับโบราณวัตถุดังกล่าวคืน ขอให้รัฐบาลกัมพูชาจัดส่งหลักฐานยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าโบราณวัตถุทั้ง 20 รายการ เป็นโบราณวัตถุที่มีถิ่นกำเนิดในกัมพูชา ในครั้งนั้น รัฐบาลกัมพูชาได้ส่งคำร้องเพื่อขอรับคืน พร้อมทั้งส่งเอกสารและหลักฐานยืนยันสิทธิเรียกร้องในวัตถุโบราณดังกล่าว
จากการตรวจสอบของกรมศิลปากร ยืนยันได้ว่า โบราณวัตถุทั้ง 20 รายการ เป็นวัตถุที่มีแหล่งกำเนิดในกัมพูชา กระทรวงวัฒนธรรม จึงขออนุมัติมอบโบราณวัตถุ 20 รายการ คืนให้กัมพูชา ดังภาพด้านล่างนี้