⦁…ได้ดิบได้ดีกันไป “มติ ครม.” อังคารที่ผ่านมา “ปูนบำเหน็จงามๆ ให้เจ้าหน้าที่ คสช. 721 คน” ด้วยเหตุผลตามแถลงของ “โฆษกไก่อู” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ทำแบบนี้มาหลายปีแล้ว ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อธิบายว่า “เป็นเรื่องธรรมดาที่ให้กับคนทำงาน” ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่ว่ายุคสมัยใดล้วนคิดเรื่อง “ปูนบำเหน็จ” ให้กับ “ทีมของตัวเอง” เพียงแต่บางสมัยเรียกว่า “ธรรมดา” แต่บางสมัยเรียกว่า “เอื้อต่อพวกพ้อง”
⦁…ประเทศเคลื่อนไปในทิศทางที่เหมือนส่งสัญญาณกับประชาชนให้วางใจเปิดกว้างสู่ “ปรองดอง” ทว่าที่เป็นไป ส่อแววกระตุ้นให้ “คนขุดความแค้นเคืองด้วยการรื้อฟื้นเรื่องราวในประวัติศาสตร์” มา “ชี้หน้าประณามใส่กัน” ส่งผลให้ “อารมณ์ในอดีต” ที่เก็บกักไว้หลั่งออกมาท่วม “ความรู้สึกนึกคิดของผู้คน” ที่น่าหนักใจคือเป็น “อารมณ์ที่ระอุด้วยคลั่งแค้น” จนน่าหวาดวิตกว่า “หากช่วยกันโหมกระพือ” อาจจะเสี่ยงต่อ “ความรุนแรง” ภายใน “เลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” ด้วยกัน
⦁…ข่าวคราวความขัดแย้งระหว่าง “ทีมเศรษฐกิจ” ที่นำโดย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กับ “รัฐมนตรีสายกองทัพ” ที่กุมอำนาจในกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับ “การทำมาหากิน” นับวันจะแพร่สะพัด กระทั่งเล่าลือกันว่า “ยากจะอยู่ร่วมกันอีกต่อไป” เริ่มหนาหูว่า “วาระที่จะต้องปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีในเร็ววันนี้” อย่างไรก็ตาม “ผู้สันทัดกรณี” ชี้ว่าหากคิดว่า “สมคิด” จะเป็นฝ่ายโบกมือลา น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
⦁…ไม่เพียงแต่ “ทีมเศรษฐกิจ” ที่ส่อเค้าว่าจะ “ทางใครทางมัน” แต่ระหว่าง “ฝ่ายการเมือง” กับ “ฝ่ายข้าราชการ” เริ่มเป็นที่จับตาว่าจะ “แตกหักกันเมื่อไร” แน่นอนก่อนหน้านั้น “นักการเมืองจากการแต่งตั้ง” ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก “โยกย้ายตามที่เห็นสมควรได้” แต่เล่ากันว่า “วันนี้ไม่ใช่เช่นนั้น” หากคิดจะเด้งใคร ต้องประเมินกันละเอียดยิบ การใช้อำนาจ “ย้ายข้าราชการระดับสูง” ไม่ใช่เรื่องที่ “คิดจะทำก็ทำได้เลย” อีกต่อไป
⦁…ท่ามกลางแรงกระเพื่อมเรื่อง “ปรับทีม ครม.เศรษฐกิจ” ทำให้ อลงกรณ์ พลบุตร รอง สปท. “คนที่ 1” ซึ่งประกาศ “ยุติบทบาทนักการเมืองจากการเลือกตั้ง” ด้วยเหตุผลว่าจะ “สานฝันปฏิรูปประเทศให้เสร็จสิ้น” โดยไม่ได้บอกว่าจะ “ใช้ช่องทางไหนเข้ามาแสดงบทบาท” ออกมายกธงเชียร์ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เต็มที่ ด้วยการวิเคราะห์ให้เห็น “ความสำเร็จของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ” มากมายหลายด้าน ซึ่งน่าสนใจอยู่ที่ประชาชนทั่วไป “ฟังแล้วคิดอย่างไร” ใน “มิติต่างๆ”
⦁…เริ่มแรก “ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นการบินไทย” ที่วาระด้วยการเคลื่อนออกมาของ “สหภาพการบินไทย” ส่งแรงกดดันแรงๆ “สู่ผู้บริหาร” ทำนองว่า “ไม่มีฝีมือพอจะจัดการธุรกิจขาดทุนสะสมท่วม” เรียกร้องให้เปลี่ยนตัว แน่นอน “ผลสะเทือนจะเกิดขึ้นต่อภาพรวมของบริษัท” ที่สะท้อนว่าไม่ใช่มีแค่ “ปัญหาภายนอก” ที่เกิดจากการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในธุรกิจ แต่ยังทำให้เห็น “ปัญหาภายในที่ส่อขัดแย้งรุนแรง” แน่นอน “เบื้องหลังย่อมเล่าลือกันมากมายถึงเรื่องราวของผลประโยชน์”
⦁…ที่กระเส็นกระสายกันออกมาคือ “แรงบีบที่จะให้ผู้บริหารถอนเรื่องเรียกร้องค่าเสียหายจากการนำการบินไทยไปเคลื่อนไหวทางการเมือง” ซึ่ง “มีการตัดสินให้บางคนต้องรับผิดชอบในวงเงินหลายร้อยล้าน” มีข่าว “ผู้บริหาร” ประเมินว่าที่เคลื่อนออกมาถล่มนี้ ไม่มีอะไรมากกว่า “ผลประโยชน์ส่วนตัว” โดยมีข้ออ้าง “ความล้มเหลวในการบริหารจัดการมาเป็นประเด็นโจมตี”
⦁…น่าสนใจที่ต่างฝ่ายต่างเรียกร้องให้ใช้ “มาตรา 44” มาจัดการ ฝ่ายหนึ่งให้ใช้เพื่อ “โละกรรมการบริหาร” แต่อีกฝ่ายเห็นว่า “ต้องจัดการกับสมาชิกสหภาพเนื่องจากสร้างความยุ่งยากไม่หยุด” ความน่าสนใจจึงอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะเจ้าของอำนาจ จะมองปัญหาแล้วเลือกจัดการมุมไหน ระหว่าง “ผลประโยชน์ในมือของฝ่ายบริหาร” กับ “ความวุ่นวายที่เกิดจากความไม่เป็นเอกภาพ”
ชโลทร