ผบ.ทบ.สั่งเดินหน้าปราบปราม’มาเฟีย’ทั่วประเทศ ขู่ฟันไม่เลี้ยง’ทหาร’เอี่ยว

“บิ๊กหมู” กำชับ “กกล.รส.- ตำรวจ-ฝ่ายปกครอง” เข้มเร่งปราบ “มาเฟีย”ทุกพื้นที่ ขู่ฟันไม่เลี้ยง “จนท.รัฐ-ทหาร” เอี่ยว ด้าน “วินธัย” ปัดตอบปมมี 4 รายชื่อ ชี้เป็นข้อมูลการข่าว

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 8 มีนาคม ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงภายหลังการประชุมสำนักงานเลขาธิการ คสช. ที่มี พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะเลขาธิการ คสช. เป็นประธานว่า จากนโยบายของรัฐบาลและ คสช. ที่ต้องการจะปราบปรามและแก้ปัญหาในเรื่องของกลุ่มผู้มีอิทธิพลอย่างจริงจัง หลังจากที่ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสังคมไทยมานาน ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคง อีกทั้งเป็นปัญหาที่เกิดการร้องเรียนเข้ามามากถึงรัฐบาลและ คสช.ผ่านช่องทางต่างๆ ทำให้ในช่วงนี้จะเริ่มเห็นภาพการทำงานอย่างจริงจังต่อเรื่องนี้ โดยกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ตำรวจ และฝ่ายปกครองในทุกๆ พื้นที่ทั่วประเทศมากยิ่งขึ้น สำหรับล่าสุดในพื้นที่ จ.นครปฐม ได้มีความคืบหน้าเกี่ยวกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ และเชื่อว่าในพื้นที่อื่นๆ คงจะเริ่มเห็นผลตามมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงนี้ทางผู้บังคับบัญชายังคงมีติดตามการทำงานต่อเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อจะเสริมให้การแก้ปัญหาตามนโยบายเกิดผลดีและมีประสิทธิภาพสูงสุด

เมื่อถามถึงรายละเอียดกรณีที่เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการในพื้นที่ จ.นครปฐม พ.อ.วินธัย กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ คสช.มีนโยบาย โดยรวบรวมข้อมูลทางด้านการข่าวเป็นหลัก รวมถึงการได้รับเบาะแสมาจากประชาชน จากนั้นได้ไปตรวจสอบทางการข่าวเบื้องต้น และพิจารณาจากองค์ประกอบต่างๆ ที่มีความน่าเชื่อถือ หากมีความชัดเจนแล้วทางเจ้าหน้าที่จึงเข้าดำเนินการ เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป รวมทั้งพิจารณาว่าเข้าข่ายเป็นความผิดของกฎหมายใด เช่น ความผิดยาเสพติด หรือมีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองด้วย

เมื่อถามถึงกรณีที่มี 4 รายชื่อบุคคลที่ระบุว่าเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพล พ.อ.วินธัยกล่าวว่า ในส่วนของทีมโฆษก คสช.ยังไม่มีข้อมูลเฉพาะเจาะจง แต่เข้าใจว่าการทำงานของแต่ละหน่วยในพื้นที่เริ่มต้นจากข้อมูลพื้นฐานด้านการข่าวและมีประชาชนให้เบาะแสทางวาจา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะนำเข้าสู่กระบวนการเพื่อพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของข้อมูลก่อน เพราะบางครั้งอาจจะเป็นข้อมูลเก่า หรือเป็นข้อมูลใหม่ หรือเป็นข้อมูลที่บิดเบือน จากนั้นจึงจะพิจารณาเพื่อนำไปสู่การดำเนินการขั้นตอนต่อไป

Advertisement

เมื่อถามว่า ในส่วนข้อมูลด้านการข่าวมีข้อมูลหรือไม่ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลเอง พ.อ.วินธัยกล่าวว่า ข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการมีอยู่แล้ว เพราะในสังคมเรามีการพูดตลอดว่าพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐอาจมีส่วนรู้เห็นอาจจะทั้งโดยตรงหรือโดยอ้อม แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ที่กระบวนการพิสูจน์ทราบและนำไปสู่การปฏิบัติ แม้ว่าจะเป็นข้าราชการก็จะต้องถูกดำเนินการอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในส่วนของกองทัพบก ซึ่งผบ.ทบ.ได้เน้นย้ำที่ประชุมทุกครั้งในเรื่องของความประพฤติกำลังพล และในช่วงนี้เป็นช่วงการดำเนินงานตามนโยบายปราบปราบผู้มีอิทธิพล หากมีกำลังพลที่เข้าไปเกี่ยวข้องจริงก็จะต้องถูกดำเนินการเช่นเดียวกัน

เมื่อถามอีกว่า คสช.จะใช้กฎหมายใดในการปราบปรามผู้มีอิทธิพล พ.อ.วินธัยกล่าวว่า การดำเนินการในช่วงแรกต้องดูว่าพฤติกรรมนั้นๆ เข้าข่ายขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือไม่ หากกระทบต่อความสงบเรียบร้อยทางเจ้าหน้าทหารจะมีกระบวนการดำเนินการ ส่วนตามกระบวนการยุติธรรมจะมีกฎหมายปกติเข้ามาดำเนินการด้วย ซึ่งต้องดูในฐานความผิด เช่นเป็นเรื่องยาเสพติด อาวุธสงคราม หรือการเรียกรับผลประโยชน์ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและพนักงานสอบสวนเข้ามามีส่วนร่วมในคดีด้วย

ด้าน พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษก คสช. กล่าวว่า สำหรับงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลความสงบเรียบร้อยและการบังคับใช้กฎหมายเพื่อจัดระเบียบสังคมและดูแลให้สุจริตชนสามารถประกอบอาชีพได้อย่างปกติ ไม่ถูกเอาเปรียบหรือถูกบังคับจากผู้ที่กระทำตนเป็นผู้ที่มีอิทธิพลหรือผู้ที่กระทำผิดกฎหมายนั้น เลขาธิการ คสช. ได้สั่งการให้กกล.รส. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และฝ่ายปกครอง โดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัด เข้าดำเนินการต่อผู้มีอิทธิพลในทุกพื้นที่ ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการอย่างเข้มข้นในขณะเดียวกันให้ตรวจสอบว่ามีข้าราชการในสังกัดหรือไม่ ที่มีพฤติกรรมเป็นผู้มีอิทธิพล โดยให้หน่วยงานนั้นดำเนินการตามกฎหมายทันที

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image