เหมือนกับการตัดสินใจของคสช.ที่เข้ากุมอำนาจด้วยตนเองจะคือ”จุดแข็ง”ในทางการเมือง
ต่างจากยุค “รสช.”เมื่อปี 2534
ที่มอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับ นายอานันท์ ปันยารชุนและคณะ
ต่างจากยุค”คมช.”เมื่อปี 2549
ที่มอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และคณะ
เพราะหลังรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2557 หัวหน้าคสช. คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยตนเอง
นี่คือ “จุดแข็ง“เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
เหตุผลที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ารับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีมีมากมาย
เหตุผล 1 เท่ากับสรุป”บทเรียน”
บทเรียนจากกรณีที่ นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมน ตรี บทเรียนจากกรณีที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี
ที่สำคัญก็คือ คสช.และคมช.ไม่สามารถกำกับและควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
กลายเป็นปัญหาของรสช.ในเดือนพฤษภาคม 2535
กลายเป็นปัญหาอันทำให้อวตารแห่งพรรคไทยรักไทยผงาดขึ้นมาจากการเลือกตั้งเดือนธันวาคม 2550
นำไปสู่อีกเหตุผล 1 คือ ไม่อยากให้“เสียของ“
ถามว่า “จุดแข็ง“อันดำรงอยู่หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ยังอยู่ในสถานะเป็น “จุดแข็ง” อีกหรือไม่
ต้องดูจาก”ความเป็นจริง”ในปัจจุบัน
ความเป็นจริงที่ผลสำเร็จของ “ปรองดอง” สมานฉันท์ดำเนินมาอย่างเป็นรูปธรรมเพียงใด
ความเป็นจริงที่ผลสำเร็จของการบริหารจัดการในเรื่องเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นอย่างไร
ความเป็นจริงที่”มาตรา 44″นำไปสู่อะไรในทางการเมือง
หากทุกอย่างคือ “ความสำเร็จ” เสียงเรียกร้องในเรื่อง“เลือกตั้ง” คงจะไม่เกิดขึ้น