เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาเผยแพร่รายงานความคืบหน้าการปราบปรามการลักลอบค้าสัตว์ป่าประจำปี 2558 เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในรายงานได้กล่าวถึงประเทศไทยว่ามีความร่วมมือที่ดีกับสหรัฐในการต่อต้านการลักลอบค้าสัตว์ป่า โดยเป็น 1 ใน 2 ประเทศของเอเชีย รวมทั้งจีนที่มีสำนักงาน U.S. Fish and Wildlife Service (USFWS) ตั้งอยู่ รายงานยังระบุด้วยว่าไทยมีความร่วมมือกับสหรัฐ ทั้งมิติการปราบปราม การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ การประชาสัมพันธ์และรณรงค์ การห้ามบริโภคและซื้อสัตว์ป่า กระตุ้นให้เกิดกระแสการงดเสิร์ฟหูฉลามในโรงแรมหลายแห่ง รวมถึงไทยยังมีนโยบายที่ไม่สนับสนุนการลักลอบค้าสัตว์ป่า และช่วยผลักดันให้ประเด็นดังกล่าวบรรจุเป็นหนึ่งในประเด็นปัญหาข้ามชาติในกลุ่มประเทศอาเซียน
พล.ต.สรรเสริญกล่าวต่อว่า ที่ผ่านมารัฐบาลให้ความสำคัญกับการพิทักษ์รักษาป่าและสัตว์ป่า เช่น หยุดยั้งการบุกรุกทําลายทรัพยากรป่าไม้ จัดการป่าต้นน้ำเสื่อมสภาพบนพื้นที่สูงชัน (เขาหัวโล้น) จัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการลักลอบบุกรุกพื้นที่ จัดทําแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (ไซเตส) ผลักดันกฎหมายหลัก 2 ฉบับคือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2557 และ พ.ร.บ.งาช้าง พ.ศ.2558 ปราบปรามการค้างาช้าง และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นแนวทางการรักษาความมั่นคงของทรัพยากรธรรมชาติ โดยสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
“นายกฯเน้นให้ส่งเสริมการอนุรักษ์ป่า โดยให้คนสามารถอยู่ร่วมกับป่าได้ ด้วยการใช้ประโยชน์ควบคู่กับรักษาป่า ส่วนการลักลอบค้าสัตว์ป่านั้นจะต้องเริ่มจากการป้องกันไปสู่การปราบปราม โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการค้างาช้าง ที่รัฐบาลให้ความสำคัญเร่งด่วน เพราะหากไม่ดำเนินการอย่างเด็ดขาด อาจถูกระงับการค้าพืชและสัตว์ตามบัญชีไซเตส ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ” พล.ต.สรรเสริญกล่าว
