ทั้งๆที่การประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามิได้เป็นครั้งแรกสำหรับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ก่อนหน้านี้ก็เคยมี
ไม่ว่าจะเป็นที่จังหวัดสระแก้ว ไม่ว่าจะเป็นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ไม่ว่าจะเป็นที่จังหวัดอุบลราชธานี
แล้วเหตุใดที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาจึงกลายเป็นปัญหา
1 อาจเป็นเพราะก่อนไปประชุมที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้มีการไปยังจังหวัดสุพรรณบุรี
แล้วมีอดีตส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนาปรากฏตัว”ต้อนรับ”
ไม่เพียงแต่ต้อนรับอย่างธรรมดา หากยังเสนอกัปปิยโวหารให้อยู่ต่อไปอีก
จึงนำไปสู่ 1 ซึ่งสะท้อนบรรยากาศ”การหาเสียง”
คำว่าบรรยากาศของ “การหาเสียง” กล่าวสำหรับในยุคหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
ถือได้ว่าเป็น “คำหยาบ”
เพราะการหาเสียงเป็นเรื่องของ “นักการเมือง” เป็นเรื่องของ
“พรรคการเมือง” ซึ่งกลายเป็นบุคคลและกลุ่มบุคคลซึ่งไม่พึงปรารถนา
มีความจำเป็นต้อง “ปฎิรูป” ก่อน “เลือกตั้ง”
การที่นำเอาคำว่า “หาเสียง” มาเป็นเหมือนคำกริยาในการขยายบทบาทและการเคลื่อนไหวของรัฐบาลอันมาจากการรัฐประหารจึงถือว่าเป็นการทำให้แปดเปื้อน
“ขอย้ำว่าเราจะสร้างภาพทำไม เพราะเราไม่คิดจะลงเลือกตั้งกับพวกเขา”
พวกเขาในที่นี้คือพวก”นักการเมือง”
ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะออกมาอธิบายอย่างไรในเรื่องการเดินสาย
ก็ยากอย่างยิ่งที่จะหลุดพ้นจาก”ข้อสังเกต”
ในเบื้องต้นอาจเป็นข้อสังเกตจาก “นักการเมือง” แต่ต่อไปก็จะกลายเป็นข้อสังเกตจาก “ชาวบ้าน” เพราะล้วนมีบทเรียน มีประสบการณ์
อาจเป็นประสบการณ์จาก”นักการเมือง” แต่ก็สามารถปรับประสานเข้ากับ “คสช.”และรัฐบาลคสช.ได้
ว่าเป็น”การหาเสียง” หรือไม่เป็น “การหาเสียง”