‘วิชา’แจง กฎหมาย ป.ป.ช.คงโทษประหารชีวิต เชือดนิติบุคคลให้สินบนรัฐทั้งไทยและเทศ

วิชา แจง กม.ป.ป.ช.ฉบับสาม เชือดนิติบุคคลให้สินบนรัฐทั้งไทยและเทศ คงโทษประหารชีวิต อ้าง ม. 149  

เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ ป.ป.ช.ได้จัดสัมมนาเรื่องโครงการส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และการบังคับใช้กฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558 โดยมี พล...วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช.กล่าวเปิดงานว่า ปัญหาการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปต่างประเทศ ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่รัฐของไทยติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศ เป็นที่มาส่วนหนึ่งของการแก้ไขกฎหมาย พ.....ฉบับที่ 3 ประเด็นสำคัญคือช่วยให้ไทยติดตามทรัพย์สินเกี่ยวเนื่องกับการทุจริตที่ไปยังต่างประเทศกลับคืนมาได้ ใช้หลักติดตามทรัพย์สินทางมูลค่า เป็นหลักการใหม่แตกต่างจากกฎหมายอาญา นอกจากนี้ยังสามารถเอาผิดกับภาคเอกชน โดยเฉพาะนิติบุคคลที่ให้สินบนกับเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศ และดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศ ที่รับสินบนดังกล่าวเช่นกัน ขณะเดียวกันได้แก้ไขให้อายุความไม่นับเวลาหลบหนี รวมทั้งไม่ให้นำอายุความล่วงเลยการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับ เป็นการอุดช่องว่างในกฎหมายเดิม ทำให้การบังคับใช้กฎหมายนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ต่อมานายวิชา มหาคุณ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิตและอดีตกรรมการ ป.ป.ช. ได้บรรยายในหัวข้อ “สาระสำคัญแห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2558” ว่า  สำหรับ พ.ร.บ.ดังกล่าวถือว่ามีความเป็นหลักสากลมากที่สุดเพราะสอดคล้องกับอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต โดยประเด็นแรกที่เราได้มีการแก้ไขกฎหมาย คือ เรื่องของอายุความ ทางอาญา  เราได้มีการแก้ไปแล้วใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต(ฉบับที่ 2) แต่ยังไม่ครบถ้วน โดยในฉบับนี้ คือ หากหลบหนีหลังศาลมีคำพิพากษาอายุความหยุดลงและจะนับอีกครั้งเมื่อกลับมารับโทษ โดยจะแตกต่างจากอนุสัญญาสหประชาชาติ ที่ไม่ให้มีอายุความหรือให้อายุความยาวขึ้น เพราะเราต้องการให้ความเป็นธรรมถึงที่สุด และเป็นเหตุให้เราได้รับความชื่นชม     

นายวิชากล่าวว่า ประเด็นที่ 2 เรื่องของการกำหนดฐานความผิดสำหรับนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ผ่านมาเราไม่เคยคิดว่านิติบุคคลเป็นตัวการ ซึ่งเราจะสามารถไต่สวนนิติบุคคลได้ต่อเมื่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ต่างจากประเทศอื่นที่มีอำนาจไต่สวนนิติบุคคล แม้ไม่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐแต่ให้สินบนจึงสามารถกวาดล้างการทุจริตได้ผล เพราะหลักสำคัญ คือ ไม่มีผู้ให้ก็ไม่มีผู้รับ ผู้ให้ปฏิเสธผู้รับจะได้จากไหน ดังนั้นเมื่อมีกฎหมาย ป.ป.ช. ฉบับที่ 3 นี้ เป็น โมเดลว่า ป.ป.ช.มีอำนาจไต่สวนระดับเริ่มต้น โดยเราได้เพิ่มมาตรา 123 วรรค 2 กำหนดความผิดนิติบุคคลที่ให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐในประเทศและต่างประเทศได้ เพื่อไม่ให้การทุจริตเบ็ดเสร็จ ซึ่ง ป.ป.ช.ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ออกประกาศหรือร่างกฎหมาย เราให้นักวิชาการทำวิจัย กว่า 3 ประเทศ คือ เกาหลีใต้ อินเดีย ฮ่องกง ทำกฎหมายที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังเป็นอย่างดี แม้จะยังไม่พบพาดพิงถึงผู้บริหารหรือนิติบุคคล แต่ว่ากระบวนการต้องติดตามตลอดเส้นทางเดินของเงินเป็นไง โดยเฉพาะสัมปทานโครงการขนาดใหญ่ต้องติดตามดูอย่างละเอียด นอกจากนี้ อาจจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายให้ใกล้เคียงกับ ป.ป.ง. โดยขณะนี้ยังไม่แก้ก็ผนึกกำลังกับ ป.ป.ง.ไปก่อน

นายวิชากล่าวว่า ประเด็นที่ 3 กำหนดโทษความผิดนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐ โดยมีโทษตั้งแต่จำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี จำคุกตลอดชีวิต ปรับ แสน ถึง 4 แสนบาทหรือประหารชีวิต โดยโทษประหารชีวิตนี้ต้องบอกว่ามีอยู่แล้วเพราะเรานำมาจากกฎหมายอาญา มาตรา 149 ซึ่งตรงนี้เองทำให้เราไม่ได้รับความร่วมมือจากต่างประเทศ เพราะองค์กรนิรโทษกรรมสากลไม่ต้องการให้มีโทษประหารชีวิต ดังนั้นหลายประเทศมองว่าประเทศที่มีคือประเทศล้าหลัง ซึ่งเราต้องทำความเข้าใจและทำงานหนักกับต่างประเทศเหล่านี้ที่ไม่ให้ความร่วมมือ อย่างไรก็ดีเข้าใจหลายคนคิดว่าแล้วทำไมไม่ตัด เราตัดไม่ได้เนื่องจากกฎหมายอาญามาตรา 149 ที่ลงโทษสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐยังอยู่ และเราจัดการเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐไทยไม่ได้ โปรดรับทราบด้วยเราทำอย่างไรกับในไทยก็ต้องทำกับต่างประเทศด้วย นอกจากนี้ในการไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศ เราต้องมีการทำข้อตกลงร่วมกันเพราะอาจจะต้องมีการส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือใช้กฎหมายนอกอาณาเขตซึ่งตรงนี้ก็ต้องดูกันต่อไป

ADVERTISMENT