09.00 INDEX แล้วคดี พะจุณณ์ ตามประทีป ก็สะดุด สะดุด หยุดลง ตรง”หมายเรียก”เท่านั้น

รู้สึกหรือไม่ว่า กรณีของ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป ค่อยๆเงียบและเร้นหายไปจากเส้นทาง “ข่าว”
ไม่มีแถลงอะไรจาก “ตำรวจ”
ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรในทาง “เปิด” จาก พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป ไม่ว่าจะโดย “ทนายความ” ไม่ว่าจะโดยพันธมิตรใน “แนวร่วม”ก็ตาม
เหมือนกับว่าทุกฝ่าย “สงบนิ่ง” อยู่ใน “ที่ตั้ง”
สะท้อน 1 แต่ละฝ่ายต่างไปขบคิด พิจารณา ว่ากรณีนี้ส่งผลดี ส่งผลเสีย อย่างไรบ้าง
สะท้อน 1 การเคลื่อนไหว”ลับ”
ลักษณะ “ร่วม” อันแสดงออกไม่ว่าจะจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่าจะจาก พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป
ตอกย้ำว่าดำเนินไปอย่าง “ตัดตอน”
เป็นการตัดตอนว่าเป็นเรื่องระหว่าง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” กับ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป
ไม่เกี่ยวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
ไม่เกี่ยวกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ยิ่งกระบวนการ “ตัดตอน” ปรากฏขึ้นถี่ยิบมากเพียงใด ยิ่งเท่ากับยืนยันว่าหากเรื่องนี้บานปลายก็อาจจะเป็น “ผลเสีย” มากกว่า “ผลดี”
คำถามอยู่ที่ว่า เป็น”ผลเสีย” กับใคร เป็น”ผลเสีย”กับฝ่ายใด

หากตรวจสอบจากกรณี “การซื้อขายตำแหน่ง” เป้าใหญ่ที่ถูกโจมตี เน้นอย่างหนักแน่นและจริงจังไปยังการซื่อขายตำแหน่ง”ตำรวจ”
ความจริง นี่มิได้เป็น “เรื่องใหม่”
ยุคใดสมัยใดก็มีเสียงซุบซิบ นินทา ในเรื่องการซื้อขายตำแหน่ง”นายตำรวจ”ดังอยู่เสมอ
คล้ายกับเป็น”ประเพณี” เป้น”วัฒนธรรม” อย่างหนึ่ง
การที่ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป นั่งอยู่ในสถานะ”ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปตำรวจ”
จึงย่อมมีการหยิบยกเรื่องนี้มา”ถกแถลง” เป็นธรรมดา
เมื่อมีการถกแถลงในที่ประชุมคณะกรรมาธิการก็ย่อมจะมีลักษณะตื่อเนื่องและบังเอิญไปปรากฎผ่าน”แชตไลน์”
จุดอันกลายเป็นปัญหาก็คือ การมีข้อความระบุถึง “พลเอก”
หากว่าคนที่มีบทบาทในการซื้อขายตำแหน่งเป็น “พลตำรวจเอก” ก็สามารถเข้าใจได้ แต่เมื่อระบุว่าเป็น “พลเอก”ก็ละเอียดอ่อน
ละเอียดอ่อนว่าเป็น”ทหาร”

ตอนที่มีการกดดันให้ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ดำเนินการออก”หมายเรียก” พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป ก็คึก่คัก ขึงขังอย่างยิ่ง
เท่ากับเป็น”ปฎิบัติการ”เพื่อรักษา”เกียรติภูมิ”
แต่เมื่อเป้าหมายเป็น พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป ก็ย่อมมีการต่อสายยาวโยงไปยัง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
และเมื่อ “บารมี” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เข้ามา”ปกปัก” คุ้มครอง
จึงไม่เพียงแต่ปรากฏ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง อดีตรองประธานศาลฎีกา เข้ามาดำรงอยู่ในฐานะ “ทนายความ” หากแต่ยังส่ง นายนิติธร ล้ำเหลือ อันมีบทบาทเป็นอย่างสูงในการ “ชัตดาวน์”กทม.เมื่อต้นปี 2557
เรื่องจึงดำเนินไปในลักษณะ “บานปลาย”
ยิ่งบานปลายก็ยิ่งจะทำให้โยงใยไปยัง “พลเอก” อันดำรงอยู่ในมุมมืด มุมลับ ยิ่งบานปลายความขัดแย้งก้จะยิ่งนำไปสู่ความขุ่นข้องหมองใจกับ “พวกเดียวกัน”
พวกที่เคย”ปูทาง”และสร้าง”เงื่อนไข”
ปูทางและสร้างเงื่อนไขให้นำไปสู่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
จึงจำเป็นต้องตัด “คัทเอาต์” จึงจำเป็นต้อง”ตัดตอน”ให้เรื่องค่อยๆเงียบหายและหยุดลงตรง “หมายเรียก”เท่านั้น
เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image