หากกระบวนการรัฐประหารโดย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อเดือนกันยายน 2500 คือ ความสำเร็จ
ความสำเร็จอันกลายมาเป็น “พิมพ์เขียว”
กระบวนการรัฐประหารโดย นายพลเนวิน แห่งสาธารณรัฐพม่าเมื่อปี 2505 ก็เป็นอีก “โมเดล”
อันกลายเป็น “พิมพ์เขียว” เป็น “ความฝัน”
เพราะว่าในยุคของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สามารถอยู่ในอำนาจได้อย่างยาวนาน
จากเดือนกันยายน 2500 กระทั่งเดือนธันวาคม 2506
โดยมีแต่”ธรรมนูญการปกครองแห่งราชอาณาจักร”เพียงไม่กี่มาตรา โดยไม่จำเป็นต้องเลือกตั้ง ไม่จำเป็นต้องมีพรรคการเมือง
มีแต่”สภาร่างรัฐธรรมนูญ”
แม้เมื่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึงแก่อสัญกรรม จอมพลถนอม กิตติขจร ก็สามารถเป็น “นายกรัฐมนตรี”ไปจนถึงเดือนตุลาคม 2516
นี่คือ “ความต่อเนื่อง”แห่ง”อำนาจ
กล่าวสำหรับ รัฐบาลทหารของพม่านั้นเล่า จากยุคของ นายพลเนวิน ก็สามารถดำรงอยู่แห่งอำนาจได้กระทั่งมถึงปัจจุบัน
จากพ.ศ.2505 ถึง พ.ศ.2559
รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 จึงมี “ปฏิมา” แห่งความสำเร็จและความล้มเหลวของการยึดอำนาจในอดีตมาเป็นเครื่องมือ
ศึกษา เรียนรู้
เพราะมีบทสรุปว่า รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 ถือได้ว่าเป็นรัฐประหาร “เสียของ”
จึงไม่อยากให้ต้อง”เสียของ”อีก
รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เมื่อสำเร็จแล้วก็มอบตำแหน่งทางการเมืองให้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
ผลก็คือ
1 เลือกตั้งเดือนธันวาคม 2550 พรรคพลังประชาชนก็ได้ชัยชนะ 1 เลือกตั้งเดือนกรกฎาคม 2554 พรรคเพื่อไทยก็ได้ชัยชนะ
ตรงนี้แหละคือ “รูปธรรม” แห่งการ”เสียของ”
รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 จึงอุดรูรั่ว ช่องโหว่ตรงนี้โดยคณะรัฐประหารเข้าเป็นรัฐบาลเอง
หัวหน้าคสช.ดำรงตำแหน่งเป็น “นายกรัฐมนตรี”
จากนั้น จึงสถาปนาแม่น้ำ 5 สาย เริ่มจาก 1 คสช. 2 ครม. 3 สนช. 4 สปช.แล้วมาเป็นสปท. 5 คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ
เป็นองค์คณะในการกำหนด “ทิศทาง” แห่ง”อำนาจ”
ศึกษาบทเรียนจาก 1 รัฐประหารเมื่อเดือนตุลาคม 2501 ขณะเดียวกัน 1 ศึกษาบทเรียนจากรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549
และ 1 ศึกษาบทเรียนจาก “ทหาร” แห่ง”เมียนมา”
การร่างรัฐธรรมนูญจึงเป็น “เครื่องมือ” 1 เนื้อหาของรัฐธรรมนูญจึงเป็นอีกเครื่องมือ 1
เมียนมาอาจกำหนดจำนวนทหารในรัฐสภาไว้เพียงร้อยละ 25
แต่ข้อเสนอของคสช.กำหนดไว้เลยว่า ส.ว.อันมาจากการแต่งตั้งของคสช.มีจำนวน 250 จากจำนวน ส.ส.มีอยู่ 500
เท่ากับมีอยู่ร้อยละ 50
เพียงเท่านี้ ส.ส.อันมาจากการเลือกตั้งของแต่ละพรรคการเมืองก็ยากที่จะต่อกรได้กับ ส.ว.อันมาจากการแต่งตั้ง
อาศัยเสียงจาก ส.ส.เพียง 150 ก็บอกได้เลยว่าใครกุมอำนาจอย่างแท้จริง
รัฐธรรมนูญอย่างนี้มิได้เพื่อการสืบทอดอำนาจ หากแต่เพื่อการประคับประคองบ้านเมือง ประคับประคองระบอบประชาธิปไตยในระยะ”เปลี่ยนผ่าน”
ที่สำคัญจะ”เปลี่ยนผ่าน”กันยาวนาน แค่ไหน