แถลงยิบ วิธีคิดผลเลือกตั้ง สส. ยอมรับ เป็นเรื่องยากมาก พรรคเดียวจะได้ถึง 250 ที่นั่ง

กรธ.-กกต. แถลงยิบ วิธีคิดผลเลือกตั้ง สส. แจง สูตรแก้โอเวอร์แฮงก์ เผย รับรองก่อน 95 เปอร์เซ็นต์ แต่พอครบให้คิดใหม่ ทำบัญชีรายชื่อลำดับท้ายมีสิทธิหลุดเมื่อเลือกซ่อม ชี้ ยากมากพรรคเดียวได้ 250 ที่นั่ง

เมื่‪อ‬วันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ห้องประชุมงบประมาณ อาคารรัฐสภา 3 นายนรชิต สิงหเสณี โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) พร้อมด้วย นางสมิหรา เหล็กหรหม รองผอ.สำนักบริหารการเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติ 1 จากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และน.ส.สง่า ทาทอง ผอ.ฝ่ายบริหารการเลือกตั้ง และการออกเสียงฝ่ายประชามติ จากสำนักงาน กกต. ร่วมกันแถลงถึงความคืบการจัดทำพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. และหลักเกณฑ์การคิดคำนวณ การประกาศผลการเลือกตั้ง โดย นายนรชิต กล่าวว่า กรธ.พิจารณาร่างกฎหมายลูกว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. และกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.เสร็จแล้ว สัปดาห์หน้าจึงจะทำการทบทวนเนื้อหาในร่างกฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับสุดท้ายไปพร้อมกัน โดยการพิจารณาทุกครั้งมีตัวแทนจากกกต.เข้ามาร่วมรับฟังด้วย และพร้อมจะส่งให้สนช.พิจารณา‪ในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้‬ตามกำหนด

นางสมิหลา กล่างถึงการคิดคำนวณ การประกาศผลการเลือกตั้ง ส.สว่า การเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 กำหนดให้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะลงคะแนนได้ 1 ใบ ในบัตร สำหรับเลือกส.ส.แบบแบ่งเขต จำนวน 350 คน ซึ่งบัตรใบนี้จะถูกนำไปใช้คิดคะแนนหาส.ส.แบบบัญชีรายชื่ออีก 150 คนด้วย โดยมาตรา 91 ของรัฐธรรมนูญ ระบุการคำนวณหาส.ส.ทั้ง 500 คน อย่างสรุป 3 วิธีดังนี้ 1.หาคะแนนเฉลี่ยต่อส.ส. 1 คน ด้วยการนำคะแนนที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกส.ส.ทุกพรรคมารวมกันแล้วหารด้วยจำนวนส.ส.ทั้งหมดคือ 500 เช่น ผู้สมัครส.ส.ทุกพรรคได้คะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวมกัน 29.5 ล้านเสียง เมื่อนำไปหารจำนวนส.ส. 500 คน ผลลัพธ์ที่ได้คือ ทุก 59,000 เสียง พรรคนั้นจะมีส.ส. 1 คน

นางสมิหลา กล่าวว่า 2. การหาจำนวนส.ส.ที่แต่ละพรรคพึงมี ให้นำผลลัพธ์จากข้อ 1 ไปหารด้วยคะแนนที่ผู้สมัครส.ส.แบบแบ่งเขต ที่ได้รับจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เช่น พรรคก.มีคะแนนเลือกตั้งรวมทั้งประเทศ 13.1 ล้านเสียง เมื่อหารกับ 59,000 เสียง จะได้ผลลัพธ์ 222.03 ดังนั้นจำนวนที่พรรคก.พึงมีส.ส. คือ 222 คน เศษทศนิยมของแต่ละพรรคที่เหลือ ให้เก็บไว้คิดหาเศษที่เหลือของจำนวนส.ส.ที่แต่ละพรรคพึงมี เช่น เศษที่เหลือของจำนวนส.ส.ที่แต่ละพรรคพึงมี มี 7 คน ก็ให้กระจายจำนวนส.ส.ที่แต่ละพรรคพึงมีไปอีกพรรคละ 1 คน สำหรับ 7 พรรค ที่มีเศษทศนิยมสูงสุด 7 ลำดับแรก และ 3. การหาจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อ ให้นำจำนวนส.ส.ที่แต่ละพรรคพึงมี ลบด้วยจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขตที่ได้รับเลือก เช่น พรรคก. พึงมีส.ส. 222 คน ลบจำนวนส.ส.แบบแบ่งเขตที่ได้รับเลือกแบบไปแล้ว 187 คน จะทำให้พรรคก.จะมีจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อที่ได้รับเลือกอีก 35 คน ดังนั้น การเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ทุกคะแนนที่ผู้สิทธิเลือกตั้งไปลงคะแนนแบบแบ่งเขต จะส่งผลต่อการคำนวณส.ส.แบบบัญชีรายชื่อด้วย

Advertisement

นางสมิหรา กล่าวว่า สำหรับการประกาศผลการเลือกตั้งสำหรับกกต.จะมีหลักใหญ่ 2 รูปแบบ คือ 1.กกต.ประกาศผลการเลือกตั้งได้ครบทั้ง 350 เขต และไม่มีที่นั่งเกินจำนวน (Overhang) ฐานคะแนนการคิด จะยึดไปตามรายละเอียดที่กล่าวไว้ ทั้งนี้ประกาศครบทั้ง 350 เขต ก็มีโอกาสที่จะเกิดที่นั่งจำนวนเกินได้ หากมีพรรคการเมืองไหน ได้จำนวนส.ส.เขต มากว่าจำนวนส.ส.ที่พึงมี พรรคนั้นจะไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก แต่จะส่งผลให้ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อเกินจำนวน 150 คน

นรชิต สิงหเสณี โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)

การคำนวณแบบนี้จึงต้องปรับจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อให้เท่ากับ 150 คน ด้วยการใช้เทียบบัญญัติไตรยางค์ เช่น พรรค ค. มีจำนวน ส.ส.ที่พึงมี 4 คน ได้รับเลือกส.ส.แบบแบ่งเขต 5 คน พรรค ค. จะไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก ส่วน พรรค จ. มีจำนวนส.ส.ที่พึงมี 160 คน ได้รับเลือกส.ส.แบบแบ่งเขตแล้ว 109 คน ต้องได้ส.ส.แบบบัญชีรายชื่ออีก 51 คน แต่คะแนนแบบนี้จะมีจำนวนที่นั่งเกิน ที่เกิดจากพรรค ค. 1 คน ทำให้ฐานจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อเกินเป็น 151 คน การคิดจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคการเมือง จึงต้องคิดโดยเทียบบัญญัติไตรยางค์ ให้เป็นฐานของส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน อย่างพรรคจ.เมื่อเทียบกลับมาบนฐานส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน แล้วจะทำให้พรรค จ. มีคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อที่จะได้ 50.6 แต่พรรค จ. จะมีส.ส.บัญชีรายชื่อเหลือ 50 คน ทศนิยมให้เก็บไว้สำหรับนำมาคิดชดเชย กระจายตามสัดส่วนที่หายไปพรรคละ 1 คน ตามลำดับทศนิยมจากมากไปหาน้อย

นางสมิหรา กล่าวว่า 2. กกต.ประกาศผลการเลือกตั้งร้อยละ 95 หรือคิดเป็น 333 เขต โดยไม่มีที่นั่งเกินจำนวนการจะคำนวณหาจำนวนส.ส. ก็ต้องใช้เลขที่เป็นฐานคิดจากส.ส.ร้อยละ 95 คือ จำนวนส.ส.ที่แต่ละพรรคพึงมี 475 คน แบ่งเป็น ส.ส.แบบเขต 333 คน แบบบัญชีรายชื่อ 142 คน แต่ทั้งนี้ก็มีโอกาสเกิดที่นั่งเกินจำนวน ก็ต้องเทียบบัญญัติไตรยางค์ปรับลด ในส่วนส.ส.บัญชีรายชื่อที่จะได้รับ อย่างไรก็ตาม การเกิดจำนวนที่นั่งเกินนั้น ในทางปฏิบัติถือว่าเกิดได้ยาก

Advertisement

เมื่อถามถึง ภายหลังจากประกาศผลการเลือกตั้งร้อย 95 เพื่อเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรกแล้ว การคำนวณผลการเลือกตั้งอีกร้อยละ 5 จะเป็นอย่างไร นางสมิหรา กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 การประกาศผลการเลือกตั้งให้อำนาจกกต.แขวนไว้รอประกาศ สำหรับเขตที่มีการร้องเรียนเรื่องการทุจริต แต่เมื่อได้ครบทุกเขตแล้ว กกต.จะทำการคำนวนคะแนนใหม่จากฐานของจำนวนส.ส.500 คน และภายใน 1 ปี กกต.จะคำนวณคะแนนใหม่ทุกครั้ง สำหรับการเลือกตั้งซ่อมในเขตที่มีการร้องเรียนเรื่องทุจริต

ส่วน นายนรชิต กล่าวว่า ทั้งหมดขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง เมื่อรับรองผลการเลือกตั้งได้เกิน 95% ก็จะสามารถเปิดประชุมรัฐสภา เพื่อนำไปสู่การตั้งรัฐบาลต่อไป สำหรับการคำนวณคะแนนใหม่เมื่อมีการเลือกตั้งซ่อม ภายใน 1 ปี จะทำเฉพาะกรณีที่ทุจริตเท่านั้น แต่ถ้าเป็นเพราะตายหรือลาออก แค่เลือกตั้งซ่อม ไม่ต้องคำนวณใหม่ คนที่อยู่ลำดับท้ายของบัญชี จึงมีโอกาสหลุดออกจากส.ส.ได้ หากต้องคำนวณใหม่ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิในส่วนนี้ไว้แล้ว ว่า จะไม่กระทบต่อเงินเดือนที่ได้รับ และสิ่งที่ทำไปแล้วให้ชอบด้วยกฎหมาย

เมื่อถามว่า การเลือกตั้งแบบนี้ มีโอกาสที่พรรคการเมืองจะได้เสียงเกิน 250 ที่นั่งหรือไม่ น.ส.สง่า กล่าวว่า ในการนำคะแนนของส.ส.ระบบแบ่งเขตเลือกตั้งมาใช้คำนวนจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อ จะทำให้เขตเลือกตั้งหนึ่งมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งเฉลี่ยประมาณ 1.8แสนคน ดังนั้น การที่จะมีพรรคการเมืองใดได้คะแนนโดดไปถึง 250 ที่นั่งก็คงเป็นเรื่องที่ยาก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image