⦁…เพราะ “แหวนเพชรที่นิ้วต้องแสงแดดส่องประกายระยับ” ถูกโฟกัส จึงเลยมาถึงขยายดู “นาฬิกาที่ข้อมือ” ทำให้เกิดการตีราคาว่าเครื่องประดับแค่สองชิ้น น่าจะไม่ต่ำกว่า “10 ล้านบาท” ด้วยนาฬิกานี้ มีแต่ “นักกีฬา ดารา นักธุรกิจระดับโลก” เท่านั้นที่จะซื้อหามาประดับตัวได้ “คนกินเงินเดือน” ที่ไหนจะมีปัญญา ยิ่งจาก “เงินเดือนข้าราชการไทย” ยิ่งห่างไกลชนิดที่ไม่ควรเพ้อฝัน ทำให้ถามกันให้ขรมว่า “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ได้เครื่องประดับเลอค่านี้ “แต่ใดมา” ลามไปถึงกระหายใคร่รู้กันโดยทั่วว่า “ทำไมไม่มีในบัญชีทรัพย์สินที่คนเป็นรัฐมนตรีต้องแจ้ง”
⦁…ผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาลรอตั้งคำถามตามความอยากรู้ของประชาชนมาหลายวัน แต่เมื่อมีโอกาส คำตอบจาก “บิ๊กป้อม” คือ “ไม่รู้ ผมไม่ตอบ ผมจะตอบกับทาง ป.ป.ช.เลย ผมไม่รู้จะตอบผู้สื่อข่าวไปทำไม ตอบไปก็จะเอาไปต่อความไปเรื่อยๆ” และสรุปด้วยเหตุผลที่ว่า “ผมทำงานมาไม่เคยมีเรื่องทุจริต” เมื่อเป็นเช่นนี้ “ผู้สื่อข่าวได้แค่รายงานประชาชนคนอยากรู้ตามนั้น” รับรู้แล้ว “คิดอย่างไร” เป็นเรื่องของ “ประชาชน” ที่ยุคสมัยนี้ ดูจะไม่มีใครแคร์มากนัก
⦁…ประเมินว่าที่รู้สึกว่า “ความร่ำรวยทั้งหลายไม่ใช่เรื่องผิดปกติ” ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นความมั่นใจตามที่ยืนกราน “ผมทำงานมาไม่เคยมีเรื่องทุจริต” แต่มีคำถามว่า “เป็นไปได้หรือไม่ที่ พล.อ.ประวิตรมั่นใจในอำนาจของตัวเองว่า ป.ป.ช.จะไม่สงสัยในคำตอบที่จะแจ้งให้ทราบ” จึงทั้งประกาศว่า “ไม่ต้องระวังตัว” และ “ไม่ท้อ” ที่ถูกจับตา ด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “ให้ว่ากันไปเลย” คนที่จะตอบได้ดีที่สุดว่า “อะไรทำให้บิ๊กป้อมมั่นใจได้ขนาดนั้น” น่าจะเป็น “พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” ประธาน ป.ป.ช. ท่ามกลาง “Social Movement” ของคนไทยช่วงนี้ เป็น “แข่งกันโชว์นาฬิกาข้อมือ” ใน “สังคมออนไลน์”
⦁…ไม่ว่าจะส่งเสียงดังแค่ไหน หรือกดดันอย่างไร ให้ทำหน้าที่ตาม “กติกาประชาธิปไตย” ได้เสียที แต่ “ปลดล็อกพรรคการเมือง” ดูจะเป็นเรื่อง “สำคัญที่เป็นไปไม่ได้” ด้วย “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” ยังมีเหตุผลที่จะเอามาชี้ให้เห็น “ความเสี่ยงที่จะเกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองได้เสมอ” ล่าสุด “เจออาวุธสงครามที่แปดริ้ว” และ “โยงข้อมูลไปสู่ขบวนการเสื้อแดง” แม้ว่า “นักการเมือง” ที่แม้กระทั่งจาก “ประชาธิปัตย์” จะบอกว่า “ไม่เกี่ยวกันกับการที่จะให้พรรคการเมืองทำงาน” ทว่าดูจะเป็น “ความไม่เห็นด้วย” ที่ “ผู้มีอำนาจไม่เห็นตาม” คำตอบว่าจะ “จัดกิจกรรมการเมืองได้ปกติเมื่อไร” จึงยังล่องลอยในสายลม หรือพูดด้วยภาษาง่ายๆ ว่า “ไม่มีใครรู้”
⦁…โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลอยู่ที่ จะทำอย่างไรให้ “ประชาชนเชื่ออย่างที่พยายามบอก” ว่า “พัฒนาเศรษฐกิจประสบความสำเร็จ” เนื่องจาก “อยู่ดีกินดีรับรู้ได้ด้วยตัวเอง” ไม่ว่าคำพูดของใครก็ทำให้เชื่อไม่ได้ เพื่อคลี่คลาย “ความพยายามที่ไม่สำเร็จเสียที” ปรับ ครม.เที่ยวนี้จึงให้ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ที่วางไว้เป็น “ขุนพล” คุม “กระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจทั้งหมด” เพื่อสั่งการได้เต็มที่ ไม่ต้องมีข้อที่บอกว่า “ติดขัดเพราะอำนาจซ้ำซ้อน” เหมือนก่อน และนั่นหมายความว่า “1 ปี” ที่เหลืออยู่ จะพิสูจน์ว่า “สมคิดเจ๋งจริงแค่ไหน”
⦁…ผลงานที่ “ประชาชนรอคอย” มากที่สุด สำหรับ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” คือ “ปฏิรูปตำรวจ” และ “ปฏิรูปการศึกษา” ซึ่งดูท่า “ผู้มีวาสนา” ได้รับการสถาปนาว่า “มีความรู้ความสามารถ” จะเอาจริงเอาจังเป็นพิเศษ ทว่าจนป่านนี้ “การรื้อระบบตำรวจ” ที่คิดกันมากมาย ยังไปไม่ถึงไหน ด้วยที่สรุปว่าจะ “โยกหน่วยโน้นไปสังกัดโน่น โยกหน่วยนี้ไปสังกัดนี่” ดูจะเป็นการว่ากันไปเรื่อย โดยการอธิบายเหตุที่จะส่งผลดีนั้น ยัง “ไม่คม” พอที่จะเชื่อว่าจะเป็นอย่างที่ฝัน ด้วยเหตุนี้ “เสียงคัดค้านจึงยังกระหึ่ม” และดูจะด้วย “เหตุผลที่น่าฟังกว่า”
⦁…ปฏิรูปการศึกษา ยิ่งไปกันใหญ่ นอกจาก “โอเน็ต-เอเน็ต” ที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าสาหัสให้ “นักเรียน” ด้วย ไร้ความสามารถในการควบคุมระบบ โครงสร้างการบริหาร ยังสับสนอลหม่าน กลับมาให้บทบาทกับ “ศึกษาธิการจังหวัด” จนเกิดอำนาจทับซ้อนกับ “สำนักงานการศึกษาพื้นที่” โดยไม่มีแผนเคลียร์ ล่าสุดจะฟื้น “กระทรวงอุดมศึกษา” ขึ้น ทำหน้าที่เหมือน “ทบวงมหาวิทยาลัย” ที่ยกเลิกไป จนเกิดคำถามไปทั่วว่า “ปฏิรูปจะพาอนาคตของเด็กไทยไปทางไหน”
⦁...นพพร บุณยฤทธิ์ อดีตบรรณาธิการสยามรัฐรายวัน ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 จัดงานศพเรียบง่าย ที่วัดช่องลม พระราม 3 สวดพระอภิธรรม วันที่ 30 พฤศจิกายน และฌาปนกิจ 1 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา
ชโลทร