กสม.ชงความเห็นแก้ร่าง กม.อีอีซี 3 มาตรา หลังพบกระทบสิทธิมนุษยชน ขัด รธน.

กสม. ชงความเห็น สนช.- ครม. แก้ร่างกฎหมายอีอีซี 3 มาตรา หลังพบขาดความมีส่วนร่วม กระทบสิทธิมนุษยชน ขัด รธน.

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 12 ธันวาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แถลงว่า กสม.มีมติให้เสนอให้มีการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี เนื่องจากเห็นว่ายังมีปัญหาในเรื่องของหลักสิทธิมนุษยชน และเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ จึงควรมีการปรับปรุงแก้ไขใน 4 ประเด็น โดย 3 ประเด็นเป็นข้อเสนอที่จะส่งให้รัฐสภาและอีก 1 ประเด็นเสนอ ครม. โดยจะทำหนังสือถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ภายใน‪วันศุกร์‬นี้

สำหรับข้อเสนอ 4 ข้อ ประกอบด้วย 1.ในชั้นการพิจารณาของรัฐสภาควรจัดให้มีการรับฟังความเห็นของผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบและผู้มีส่วนได้เสียจากร่างกฎหมายดังกล่าว ในระดับพื้นที่เพิ่มเติม รวมทั้งเปิดโอกาสให้นักวิชาการและภาคประชาชนเสนอความเห็น ข้อกังวล เป็นรายมาตราอย่างกว้างขวางและทั่วถึง เพื่อประกอบการพิจารณาให้ครบถ้วนรอบด้าน 2.รัฐสภาควรพิจารณาแก้ไขมาตรา 36 ของร่างกฎหมายดังกล่าว ซึ่งว่าด้วยเรื่องการเข้าใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หากเป็นการเข้าใช้ประโยชน์เพื่อการอื่น นอกจากที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ควรดำเนินการเท่าที่จำเป็น และต้องดำเนินการด้วยวิธีการเพิกถอนที่ดินบริเวณนั้นจากการเป็นเขตปฏิรูปที่ดินตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย และชดเชยเยียวยาให้ผู้ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรม และ 3.แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 37 มาตรา 43 เพื่อเป็นหลักประกันว่าการเปลี่ยนแปลงแก้ไขหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการอนุมัติ อนุญาต หรือการอื่น จะไม่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพและกระบวนการมีส่วนร่วมที่มีอยู่ในกฎหมายว่าด้วยการนั้น

นายวัสกล่าวต่อว่า ส่วนข้อเสนอที่ 4 เสนอคณะรัฐมนตรีควรกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินในภาพรวม และแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการจัดทำผังเมือง ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตามคำสั่ง คสช.ที่ 2/2560 เรื่องการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ลงวันที่ 17 มกราคม 2560 ให้พิจารณาด้วยความระมัดระวัง โดยการดำเนินการต้องไม่กระะทบต่อการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่ได้รับการรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญ และพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน ที่ประเทศไทยเป็นภาคี และสอดคล้องกับหลักการตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบสหประชาชาติ หลังปี ‪2558-2573‬

Advertisement

นายวัสกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องได้มีการจัดประชุมรับฟังความเห็นและมีหนังสือสอบถามความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวรวม 7 ครั้ง แต่ช่องทางการรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้ที่อาจได้รับผลกระทบตามกฎหมาย มีเพียงการรับฟังผ่านเว็บไซด์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยระหว่างวันที่ ‪20 พฤษภาคม-5 มิ‬ถุนายน 2560 มีผู้เข้าไปแสดงความเห็นเพียงสี่คน ทั้งๆ ที่ร่างกฎหมายนี้จะต้องใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัด ที่มีประชาชนซึ่งมีความหลากหลายอาชีพอาศัยอยู่จำนวนมาก

“การเปิดรับฟังความเห็นดังกล่าวจึงอาจไม่กว้างขวางเพียงพอ ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 43 ดังนั้น เมื่อร่างกฎหมายนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาวาระสองของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หากนำข้อเสนอแนะของ กสม.ไปพิจารณาจะทำให้เกิดความรอบคอบ เป็นประโยชน์ต่อโครงการพัฒนาของรัฐ สร้างความยั่งยืนปราศจากความขัดแย้งจากทุกภาคส่วน และไม่กระทบต่อกระบวนการออกกฎหมาย เพราะ สนช.มีมติให้มีการขยายระยะเวลาการพิจารณาร่างกฎหมายนี้ออกไปอีก 60 วัน ทั้งนี้ หากทำข้อเสนอแนะไปแล้วไม่มีการปฏิบัติตาม กสม.ก็จะต้องนำข้อมูลออกมาเผยแพร่เพื่อฟ้องประชาชน” นายวัสกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image