การเปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในวันที่ 28 ธันวาคม ทรงความหมายเป็นอย่างสูง
เหมือนกับเป็นเรื่องตาม “ประเพณี”
นั่นก็คือ เมื่อใกล้จะถึงวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ผู้หลัก ผู้ใหญ่ ย่อมเปิดบ้านให้ญาติสนิท มิตรสหายที่ใกล้ชิดเข้าไปร่วมอวยพรและขอพร
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เองก็เป็น “ผู้ใหญ่” ไม่เพียงแต่จะดำรงตำแหน่งเป็น “ประธานคณะองคมนตรี” หากแต่ยังเคยดำรงตำแหน่งเป็น “นายกรัฐมนตรี” และได้รับยกย่องในสถานะแห่ง “รัฐบุรุษ”
การเข้าไปกราบเพื่อขอพรจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จึงนับเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อ “คสช.” และต่อ “รัฐบาล”
ต้องยอมรับว่านับแต่เข้าสู่เดือนพฤศจิกายน 2560 เป็นต้นมา คสช.และรัฐบาลอยู่ในห้วงอันเรียกกันว่า
เป็นห้วง “ขาลง”
ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะก้าวเดินไปที่ไหนและอ้าปากพูดเรื่องอะไร ล้วนถูกวิพากษ์วิจารณ์
เริ่มจากกรณีการเสียชีวิตอย่างมากด้วยเงื่อนงำของ “น้องเมย” ตามมาด้วยการส่งเสียงตวาด ณ ตลาดปลา ปัตตานี รวมถึง การสลายการชุมนุมและจับกุมชาวบ้าน
ที่สุดก็มาถึงกรณีนาฬิกาสุดหรู Richard Mille
การตบเท้าเข้าเยี่ยมคารวะและขอพรจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก่อนเข้าสู่ปี 2561 จึงทรงความหมายเป็นอย่างสูง
ไม่เพียงแต่จะแสดงให้เห็นถึงการเข้าหา “ผู้ใหญ่” ตรงกันข้าม ยังหวังที่จะได้พร ได้กำลังใจ และขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นว่า “ผู้ใหญ่” ห่วงหา อาทร
ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ที่มากด้วยคุณงาม ความดีระดับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ยิ่งเท่ากับเป็นการการันตีและค้ำยันสถานะและเกียรติภูมิให้กับ คสช.ให้กับรัฐบาล
เป็นกำลังใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ตีฝ่าอุปสรรค
และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในห้วง “ขาลง” อย่างสำคัญ